TIE RAtio คืออะไร (Times Interest Earned (TIE) มีสูตรคำนวณอย่างไร อธิบายวิธีคิด ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ ข้อดีข้อเสีย

TIE RAtio คืออะไร

TIE Ratio (Times Interest Earned Ratio) เป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการวัดความสามารถของธุรกิจในการชำระเงินดอกเบี้ยหรือเงินต้นที่ต้องชำระเป็นดอกเบี้ยในหนึ่งรอบปฏิบัติการของธุรกิจ ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนหรือเจ้าหนี้ได้มีภาพรวมเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจนั้น ๆ และTIE Ratio ช่วยให้สังเกตได้ว่าธุรกิจมีความสามารถในการสร้างกำไรเพียงพอเพื่อชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในหนึ่งรอบการดำเนินงาน เป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ

TIE RAtio คืออะไร Times Interest Earned มีสูตรคำนวณอย่างไร.
TIE RAtio คืออะไร Times Interest Earned มีสูตรคำนวณอย่างไร.

TIE Ratio มีค่ามากเท่าไรหมายถึงว่าธุรกิจมีความสามารถในการสร้างกำไรเพียงพอที่จะสามารถชำระเงินดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระตามสัญญาได้ ถ้าค่า TIE Ratio มากพอ หมายถึงว่าธุรกิจมีความเสถียรทางการเงิน แต่ถ้าค่า TIE Ratio ต่ำหรือติดลบ อาจแสดงถึงภาวะเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจอาจจะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระได้จากกำไรปฏิบัติการประจำไปได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจในสายตาของเจ้าหนี้และผู้ลงทุนด้วย

TIE RAtio มีสูตรคำนวณอย่างไร

TIE Ratio เป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการวัดความสามารถของธุรกิจในการชำระหนี้ที่เกิดจากดอกเบี้ย หรือจากเงินต้นที่ต้องชำระเป็นดอกเบี้ย ในแต่ละรอบปฏิบัติการของธุรกิจ เราต้องใช้สูตรทางการเงินเพื่อคำนวณ TIE Ratio ดังนี้:

TIE RAtio มีสูตรคำนวณอย่างไร
TIE RAtio มีสูตรคำนวณอย่างไร

TIERatio = EBIT / Interest Expense​

  • EBIT (Earnings Before Interest and Taxes) คือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าภาษี ซึ่งเป็นกำไรที่ธุรกิจสร้างขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมหลักของตนโดยไม่รวมดอกเบี้ยและภาษี
  • Interest Expense คือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ธุรกิจต้องจ่ายในรอบเวลาเดียวกัน

อัตราส่วนนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้มีภาพรวมเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระตามสัญญาของธุรกิจ ค่า TIE Ratio มีความสำคัญเพราะมันแสดงถึงความสามารถของธุรกิจในการสร้างกำไรพอเหมาะที่จะสามารถชำระหนี้ที่ต้องเกิดขึ้น ถ้าค่า TIE Ratio มีค่าสูง นั่นหมายความว่าธุรกิจมีกำไรที่เพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ถ้าค่า TIE Ratio ต่ำหรือติดลบ อาจแสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจอาจจะไม่สามารถจ่ายหนี้ที่ต้องชำระตามสัญญาได้จากกำไรปฏิบัติการประจำไปได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจในสายตาของเจ้าหนี้และผู้ลงทุนด้วย

การวิเคราะห์ TIE RAtio

การวิเคราะห์ TIE Ratio (Times Interest Earned Ratio) เป็นขั้นตอนที่มีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ เพื่อทราบว่าธุรกิจมีความสามารถในการชำระเงินดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระตามสัญญาได้หรือไม่ ต่อไปนี้คือขั้นตอนการวิเคราะห์ TIE Ratio:

รวบรวมข้อมูล

การรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ TIE Ratio ควรเริ่มต้นด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ EBIT (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (Interest Expense) สำหรับรอบการทำธุรกิจที่คุณสนใจวิเคราะห์ เพื่อใช้ในการคำนวณ TIE Ratio ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของข้อมูลที่อาจถูกนำมาใช้

EBIT (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี):

      • ปี 2022: 10,000,000 บาท
      • ปี 2021: 8,500,000 บาท
      • ปี 2020: 7,200,000 บาท

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (Interest Expense):

      • ปี 2022: 1,200,000 บาท
      • ปี 2021: 1,000,000 บาท
      • ปี 2020: 900,000 บาท

หลังจากมีข้อมูลทั้งหมดแล้ว คุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในสูตร TIE Ratio เพื่อคำนวณค่า TIE Ratio สำหรับแต่ละปี และจะสามารถทำการวิเคราะห์เพื่อเข้าใจความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจในแต่ละปีได้ครับ

คำนวณ TIE Ratio

เพื่อที่จะคำนวณ TIE Ratio คุณจำเป็นต้องมีข้อมูล EBIT (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (Interest Expense) ในรอบที่สนใจ เมื่อคุณมีข้อมูลเหล่านี้แล้วใช้สูตร TIE Ratio เพื่อคำนวณ ซึ่งการวิเคราะห์ TIE Ratio ด้วยการเปรียบเทียบค่าที่ได้กับมาตรฐานหรือค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม เพื่อเข้าใจความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการวิเคราะห์

วิเคราะห์ผล

การวิเคราะห์ผล TIE Ratio เป็นส่วนสำคัญในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ ดังนั้นเมื่อคุณได้คำนวณค่า TIE Ratio แล้ว คุณสามารถวิเคราะห์ผลได้ดังนี้:

การวิเคราะห์ผล TIE Ratio
การวิเคราะห์ผล TIE Ratio
    • TIE Ratio มากกว่า 1: ถ้าค่า TIE Ratio มากกว่า 1 แสดงว่ากำไรที่ธุรกิจสร้างขึ้นเพียงพอที่จะครองดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายหนี้ได้อย่างมั่นคง
    • TIE Ratio น้อยกว่า 1: ถ้าค่า TIE Ratio น้อยกว่า 1 หมายความว่ากำไรไม่เพียงพอที่จะครองดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระ ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงทางการเงินสูงขึ้นเนื่องจากไม่มีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งในการจ่ายหนี้
    • TIE Ratio มากกว่าหรือเท่ากับเฉลี่ยในอุตสาหกรรม: เมื่อเปรียบเทียบ TIE Ratio ของธุรกิจกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม เว้นแต่จะมีสาเหตุเฉพาะที่ส่งผลให้ค่า TIE Ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ถือว่าธุรกิจมีสภาวะการเงินที่ดีและสามารถจ่ายหนี้ได้อย่างมั่นคง
    • การเปรียบเทียบกับรอบก่อนหน้า: การเปรียบเทียบค่า TIE Ratio กับรอบปฏิบัติการก่อนหน้าเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการจ่ายหนี้ของธุรกิจ
      การวิเคราะห์เชิงเทคนิค: ควรพิจารณาสาเหตุที่ส่งผลให้ค่า TIE Ratio มีการเปลี่ยนแปลง อาจจะเกิดจากการเพิ่มหรือลดกำไรหรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เหตุการณ์ที่ส่งผลให้ค่า TIE Ratio มีการเปลี่ยนแปลงควรถูกวิเคราะห์ในมุมของสาเหตุและผลกระทบ
    • การเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ TIE Ratio ลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ว่า TIE Ratio อยู่ในระดับที่ยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้หรือไม่ก็เป็นส่วนสำคัญ

การวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์

การวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวิเคราะห์ TIE Ratio  เพื่อทำความเข้าใจและตรวจสอบว่าอะไรสามารถส่งผลกระทบให้ค่า TIE Ratio มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

    • การเปรียบเทียบปริมาณ: หากค่า TIE Ratio มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลดลง คุณควรเปรียบเทียบปริมาณของ EBIT และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยระหว่างรอบปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุที่เป็นผลทำให้ TIE Ratio เปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงใน EBIT หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบให้ TIE Ratio เปลี่ยนแปลงได้โดยตรง
    • ปัจจัยภายนอก: พิจารณาปัจจัยภายนอกที่อาจมีผลต่อค่า TIE Ratio เช่น อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงในตลาด การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐศาสตร์ หรือสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อธุรกิจ
    • การปรับปรุงการบริหารจัดการ: หากค่า TIE Ratio ลดลงอาจแสดงถึงปัญหาในการบริหารจัดการทางการเงินของธุรกิจ การวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์อาจช่วยให้คุณระบุพื้นที่ที่ต้องการปรับปรุง เช่น การลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย การเพิ่มกำไรหรือการสร้างสภาพการเงินที่ดีขึ้น
    • การวิเคราะห์เทียบกับอุตสาหกรรม: เปรียบเทียบ TIE Ratio ของธุรกิจกับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือในตลาดที่คล้ายคลึงกัน สามารถช่วยให้คุณเข้าใจว่าค่า TIE Ratio ที่คุณสนใจเป็นเป็นเชิงบวกหรือลบเมื่อเทียบกับเพื่อนแข่ง
    • การวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย: การวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบให้ TIE Ratio มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ค่า TIE Ratio ลดลงถ้า EBIT ไม่เพิ่มขึ้นเท่าเทียบกัน
    • การวิเคราะห์เพื่อการวางแผน: การวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์สามารถใช้เพื่อการวางแผนทางการเงินในอนาคต โดยการทำนายว่าการเปลี่ยนแปลงในสภาพเศรษฐกิจหรือเงื่อนไขภายนอกจะส่งผลกระทบให้ TIE Ratio เปลี่ยนแปลงอย่างไร

การเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ

การเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวิเคราะห์และประเมินความสามารถทางการเงินของธุรกิจ โดยการเปรียบเทียบสามารถช่วยให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนหรือการทำธุรกิจในองค์กรต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ:

การเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ
การเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจ
    • เลือกธุรกิจที่จะเปรียบเทียบ: เลือกธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรืออาจเป็นธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อให้การเปรียบเทียบมีความหมายและเป็นประโยชน์
    • รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: รวบรวมข้อมูลทางการเงินและผลประกอบการที่จำเป็นสำหรับการเปรียบเทียบ เช่น ข้อมูลทางการบัญชีและรายงานการเงิน
    • คำนวณตัวชี้วัดทางการเงิน: คำนวณตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญ เช่น กำไรสุทธิ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT), มูลค่าสินทรัพย์รวม, หนี้สินรวม, อัตราเงินต้นที่ต้องชำระ, และอื่น ๆ
    • เปรียบเทียบตัวชี้วัด: ทำการเปรียบเทียบค่าตัวชี้วัดทางการเงินระหว่างธุรกิจที่เลือก โดยใช้ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เช่น เปรียบเทียบค่า TIE Ratio, อัตราความสะดวกในการสินเชื่อ (Current Ratio), อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt-to-Equity Ratio) และอื่น ๆ
    • วิเคราะห์ผล: วิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลการเปรียบเทียบ หากมีค่าต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ให้พิจารณาว่าอะไรที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้ เช่น องค์กรที่มี TIE Ratio สูงกว่าอาจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นที่ดีกว่า

การวิเคราะห์ร่วมกับอัตราดอกเบี้ย

การวิเคราะห์ TIE Ratio ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยเป็นการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการชำระเงินดอกเบี้ยของธุรกิจและอัตราดอกเบี้ยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ การวิเคราะห์ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยช่วยให้คุณเข้าใจถึงวิธีที่การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลต่อความสามารถในการชำระเงินดอกเบี้ยของธุรกิจได้ ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับนี้

    • อัตราดอกเบี้ยและ TIE Ratio: อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรที่สำคัญในการวิเคราะห์ TIE Ratio เนื่องจากมีผลต่อค่า TIE Ratio และความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ ถ้าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ค่า Interest Expense เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ TIE Ratio ลดลง ถ้า TIE Ratio ลดลงมากเกินไป อาจแสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจมีความยากลำบากในการชำระหนี้
    • อัตราดอกเบี้ยและการบรรเทาความเสี่ยง: การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น เนื่องจากต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยสูงขึ้น ในกรณีนี้ การมีค่า TIE Ratio ที่สูงจะช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถในการดูแลค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และลดความเสี่ยงทางการเงิน
    • การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย: การวิเคราะห์ TIE Ratio ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย ถ้า TIE Ratio มีค่าสูง อัตราดอกเบี้ยอาจมีผลกระทบน้อยต่อความสามารถในการชำระหนี้ แต่ถ้า TIE Ratio มีค่าต่ำ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
    • อัตราดอกเบี้ยในตลาด: การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ TIE Ratio ถ้าอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด อาจจะเสนอโอกาสในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
    • การนำส่งผลลัพธ์: ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยควรจะนำส่งผลให้กับผู้บริหารและผู้ตัดสินใจภายในธุรกิจ ซึ่งอาจช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการการเงิน เช่น การเพิ่มสินเชื่อหรือการดำเนินการเงินในทางอื่นๆ

ตัวอย่างการวิเคราะห์ TIE RAtio

เพื่อให้คุณเข้าใจวิธีการคำนวณ TIE Ratio และการวิเคราะห์ด้วยตัวอย่าง นี่คือตัวอย่างการคำนวณ TIE Ratio

สมมติว่าคุณมีธุรกิจ ABC Company และคุณมีข้อมูลดังนี้ในรอบปีล่าสุด

    • EBIT (Earnings Before Interest and Taxes): $500,000
    • ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (Interest Expense): $100,000

คำนวณ TIE Ratio โดยใช้สูตร

    • TIERatio = EBIT / Interest Expense​
    • TIERatio = 500,000 / 100,000 = 5

ในตัวอย่างนี้ TIE Ratio ของ ABC Company คือ 5 หมายถึงว่าธุรกิจมีความสามารถในการสร้างกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและภาษีจาก EBIT สูงถึง 5 เท่าของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ต้องชำระ นี่หมายความว่าธุรกิจมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีกว่า และมีความสามารถในการสร้างกำไรเพียงพอในการประเมินค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย การวิเคราะห์: ในกรณีนี้ TIE Ratio มีค่าสูงกว่า 1 และอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งแสดงถึงธุรกิจมีความสามารถในการสร้างกำไรเพียงพอในการชำระดอกเบี้ย แต่ควรพิจารณาเปรียบเทียบกับข้อมูลเพิ่มเติมเช่นมาตรฐานในอุตสาหกรรมหรือค่าเฉลี่ยในรอบปีก่อนหน้าเพื่อประเมินสถานะการเงินอย่างครบถ้วนขึ้น

ข้อดีข้อเสียของTIE RAtio

TIE Ratio (Times Interest Earned Ratio) มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาเมื่อใช้ในการวิเคราะห์สถานะการเงินของธุรกิจ:

ข้อดีของ TIE Ratio

ข้อดีของ TIE Ratio
ข้อดีของ TIE Ratio
  • วัดความสามารถในการชำระหนี้: TIE Ratio ช่วยวัดความสามารถในการสร้างกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและภาษีเพื่อชำระหนี้ ที่เป็นส่วนสำคัญในการประเมินความสามารถของธุรกิจในการชำระหนี้ตามสัญญา.
  • เครื่องมือในการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน: TIE Ratio ช่วยให้ผู้วิเคราะห์เข้าใจถึงความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ โดยที่ค่า TIE Ratio ที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียง 1 อาจแสดงถึงภาวะเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้น.
  • เปรียบเทียบภาวะการเงินระหว่างธุรกิจ: TIE Ratio ช่วยในการเปรียบเทียบความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระตามสัญญาระหว่างธุรกิจที่มีลักษณะและขนาดต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน.

ข้อเสียของ TIE Ratio

  • ไม่คำนึงถึงสภาพการเงินอื่น ๆ: TIE Ratio ให้ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงสภาพการเงินอื่น ๆ เช่น สภาพสินทรัพย์และหนี้สินอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ.
  • ไม่สามารถใช้คำนวณสำหรับธุรกิจที่ไม่มีดอกเบี้ย: ถ้าธุรกิจไม่มีหนี้สินหรือไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ก็จะไม่สามารถคำนวณ TIE Ratio ได้ ซึ่งอาจทำให้ไม่เหมาะสมในบางกรณี.
  • ข้อมูลเก่าหรือไม่เพียงพอ: การวิเคราะห์ TIE Ratio อาจไม่สมบูรณ์ถ้าข้อมูล EBIT หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของการวิเคราะห์.
  • ต้องคำนึงถึงบริบทของธุรกิจ: ความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจสามารถแสดงถึงความสมดุลและเสถียรภาพทางการเงิน แต่ควรพิจารณาร่วมกับการวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้.