Solvency Ratio คืออะไร สูตรคำนวณ วิธีคิดพร้อมยกตัวอย่าง Solvency Risk อธิบายการวิเคราะห์

Solvency Ratio คืออะไร

อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้หรือ Solvency Ratio เป็นอีกหนึ่งอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการประเมินความคงทนของธุรกิจหรือบุคคลในการชำระหนี้และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการเงินของตนเองหรือของธุรกิจในระยะยาว อัตราส่วน Solvency Ratio มักถูกใช้ในบริษัทหรือธุรกิจเพื่อวัดความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้หรือเสี่ยงในการล้มละลายของธุรกิจในอนาคตโดย Solvency Ratio มีหลายวิธีที่สามารถนำมาคำนวณและแปลงให้อยู่ในรูปแบบเอกสารหรือร้อยละ ตามที่องค์กรหรือบุคคลต้องการใช้ในการวิเคราะห์และรายงานความคงทนของตนเอง

Solvency Ratio คืออะไร สูตรคำนวณ
Solvency Ratio คืออะไร สูตรคำนวณ

ทักษะในการวิเคราะห์ Solvency Ratio และอัตราส่วนการเงินอื่น ๆ จะช่วยให้คุณเข้าใจสภาพการเงินของธุรกิจหรือองค์กรได้อย่างละเอียดและเข้าใจว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างที่อาจส่งผลต่อความคงทนของหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการตรวจสอบความเหมาะสมในการขอสินเชื่อหรือระดมทุนเพิ่มเติม เช่น การออกหุ้นหรือออกพันธบัตรสามัญทางการเงิน (bonds) โดยการวิเคราะห์ Solvency Ratio และอัตราส่วนการเงินอื่น ๆ อาจเป็นตัวช่วยสำคัญในการดำเนินกิจกรรมทางการเงินที่มีผลต่อความเสี่ยงและความคงทนของหนี้ในระยะยาว

Solvency Ratios มีอะไรบ้าง

อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้หรือ Solvency Ratios คืออัตราส่วนที่ใช้ในการประเมินความสามารถของธุรกิจในการชำระหนี้และความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจในระยะยาว อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ที่สำคัญรวมถึง

  1. Debt to Equity Ratio (อัตราส่วนหนี้ต่อทุนเรือน): นับเป็นอัตราส่วนของหนี้ต่อทุนเรือน ซึ่งช่วยในการวัดความเสี่ยงทางการเงินของธุรกิจ อัตราส่วนสูงอาจแสดงถึงความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่สูงขึ้น เนื่องจากมีหนี้มากเกินไปต่อทุนเรือน ในขณะที่อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความเสี่ยงที่น้อยในการชำระหนี้ แต่อาจไม่สามารถใช้ทุนเรือนให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. Debt to Asset Ratio (อัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์): นับเป็นอัตราส่วนของหนี้ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งช่วยในการวัดร้อยละของสินทรัพย์ที่ถูกด้วยหนี้ การอัตราส่วนสูงอาจแสดงถึงความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความเสี่ยงที่น้อยในการชำระหนี้
  3. Interest Coverage Ratio (อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย): นับเป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีหักลดหนี้ กับดอกเบี้ยที่ต้องชำระ อัตราส่วนสูงแสดงถึงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่ดี เนื่องจากกำไรที่เพียงพอมากพอที่จะปกคลุมค่าดอกเบี้ย ในขณะที่อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความเสี่ยงในการชำระดอกเบี้ย
  4. Fixed Charge Coverage Ratio (อัตราส่วนความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายคงที่): นับเป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรก่อนดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายคงที่ (รวมถึงดอกเบี้ย) กับค่าใช้จ่ายคงที่ อัตราส่วนสูงแสดงถึงความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายที่ดี เนื่องจากกำไรที่เพียงพอมากพอที่จะปกคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ ในขณะที่อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความเสี่ยงในการชำระค่าใช้จ่าย
  5. Long-term Debt to Total Capitalization Ratio (อัตราส่วนหนี้ยาวนานต่อทุนทั้งหมด): นับเป็นอัตราส่วนของหนี้ยาวนานต่อทุนทั้งหมดของธุรกิจ อัตราส่วนสูงแสดงถึงการขึ้นอยู่กับหนี้มากเกินไป และมีความเสี่ยงในการชำระหนี้ในระยะยาว ในขณะที่อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความสามารถในการจ่ายหนี้ที่ดี

สูตรคำนวณ Solvency Ratio

การใช้ Solvency Ratio ช่วยในการประเมินความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการเงินขององค์กรหรือบุคคลในอนาคต โดย Solvenct Ratio คำนวณได้โดยใช้สูตรดังนี้

สูตรคำนวณ Solvency Ratio
สูตรคำนวณ Solvency Ratio

ในสูตรนี้:

  • “Total Assets” หมายถึง ทรัพย์สินรวมของธุรกิจหรือบุคคล ซึ่งรวมถึงเงินสด, ลงทุน, สินค้าคงคลัง, ทรัพย์สินไม่หมุนเวียน (เช่น อสังหาริมทรัพย์), และทรัพย์สินอื่น ๆ ทั้งหมดที่เป็นทรัพย์สินของธุรกิจหรือบุคคลในขณะนั้น.
  • “Total Liabilities” หมายถึง หนี้สินรวมของธุรกิจหรือบุคคล ซึ่งรวมถึงหนี้สินสินเชื่อ, กู้ยืม, หนี้สินอื่น ๆ และการผ่อนชำระหนี้ที่ต้องชำระในระยะยาว.

เมื่อคุณคำนวณ Solvency Ratio แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอัตราส่วนที่บ่งบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจหรือบุคคล ถ้า Solvency Ratio มีค่ามากกว่า 1 แสดงว่ามีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากมีความคงทนและความสามารถในการชำระหนี้ แต่ถ้า Solvency Ratio มีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่าหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้และล้มละลายในอนาคต

วิธีคิด Solvency Ratio

การวิเคราะห์ Solvency Ratio ควรทำในบริบทของธุรกิจหรือบุคคลและควรใช้ร่วมกับข้อมูลการเงินอื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมของสภาพการเงินและความคงทนทางการเงินขององค์กรหรือบุคคลในระยะยาว เมื่อคุณมีข้อมูลการเงินทั้งสิ้นทรัพย์รวม (Total Assets) และหนี้สินรวม (Total Liabilities) จากงบการเงินขององค์กรหรือบุคคล คุณสามารถคำนวณ Solvency Ratio ได้โดยแบ่งรวมทรัพย์รวมด้วยหนี้สินรวม

  1. หาค่า Total Assets (ทรัพย์สินรวม) จากงบการเงินขององค์กรหรือบุคคล ซึ่งประกอบด้วยทรัพย์สินและสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ ที่องค์กรหรือบุคคลครอบครอง นี้รวมถึงเงินสดและเงินรายได้อื่น ๆ รวมกันทั้งหมด.
  2. หาค่า Total Liabilities (หนี้สินรวม) จากงบการเงินเช่นกัน นี้รวมถึงหนี้สินที่ต้องชำระต่อไปทั้งหมด รวมถึงหนี้ตามสัญญาสั่งซื้อหรือสัญญากู้ยืม รวมกันทั้งหมด.
  3. หลังจากที่คุณได้หาค่า Total Assets และ Total Liabilities แล้ว คุณสามารถนำมาคำนวณ Solvency Ratio ตามสูตรข้างต้น.
  4. Solvency Ratio ที่คำนวณได้จะอยู่ในรูปแบบเลขทศนิยม โดยมักจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือเลขทศนิยมที่สองตำแหน่ง.
  5. ค่า Solvency Ratio ที่ได้จะช่วยในการประเมินความคงทนของธุรกิจหรือบุคคลในการชำระหนี้ ค่าที่มากกว่า 1 จะแสดงถึงความคงทนทางการเงินที่ดีกว่า และความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้น้อยลง. สำหรับค่า Solvency Ratio ที่น้อยกว่า 1 จะแสดงถึงความคงทนทางการเงินที่อ่อนแอขึ้นและความเสี่ยงที่มากขึ้นในการไม่สามารถชำระหนี้.

เมื่อ Solvency Ratio มากกว่า 1 แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้และความคงทนทางการเงินในระดับที่ดีกว่า นี่คือบางความสัมพันธ์ที่คุณสามารถตีความได้จาก Solvency Ratio

Solvency Ratio มากกว่า 1

ถ้า Solvency Ratio มากกว่า 1, มีความหมายว่า บริษัทหรือองค์กรมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน นั่นหมายความว่าบริษัทมีส่วนของทรัพย์สินที่มากพอที่จะชำระหนี้ได้ และมีความคงทนทางการเงินที่ดีกว่าในการตอบสนองต่อความต้องการเงินของตนเอง นี่คือบางสิ่งที่คุณอาจจะสังเกตเมื่อ Solvency Ratio มากกว่า 1:

Solvency Ratio มากกว่า 1
Solvency Ratio มากกว่า 1
    • ความคงทนในการชำระหนี้: การมี Solvency Ratio มากกว่า 1 แสดงว่าบริษัทมีส่วนของทรัพย์สินมากพอที่จะเชียร์หนี้ได้โดยไม่ต้องขายทรัพย์สินหรือขายสินทรัพย์ นี่ส่งผลให้บริษัทมีความคงทนในการชำระหนี้และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนด.
    • ความสามารถในการลงทุนและขยายธุรกิจ: มี Solvency Ratio มากกว่า 1 ยังแสดงถึงความสามารถในการลงทุนในโครงการหรือการขยายธุรกิจในอนาคต โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมเพิ่มเติมในระดับสูง.
    • ความน่าเชื่อถือในตลาด: Solvency Ratio มากกว่า 1 อาจช่วยให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือในตลาดที่ดีขึ้น นักลงทุนและเจ้าหนี้อาจมีความมั่นใจในความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน.
    • ความสามารถในการจัดหาเงินทุน: บริษัทที่มี Solvency Ratio มากกว่า 1 อาจมีความสามารถในการจัดหาเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการมีทรัพย์สินมากพอที่จะเป็นประกันหรือมั่นใจในความน่าเชื่อถือของบริษัท.

Solvency Ratio น้อยกว่า 1

ถ้า Solvency Ratio น้อยกว่า 1, แปลว่า หนี้สินรวมมากกว่าทรัพย์สินรวมของบริษัทหรือองค์กร นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้และความน้อยในการรองรับความต้องการเงิน คุณต้องระมัดระวังเมื่อ Solvency Ratio ต่ำเพราะอาจทำให้มีความเสี่ยงในการล้มละลายหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาการเงินและหนี้สินที่ค้างอยู่.สิ่งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ Solvency Ratio น้อยกว่า 1 รวมถึง:

    • ความเสี่ยงในการชำระหนี้: การมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินอาจทำให้บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาและอาจต้องพบกับปัญหาการชำระหนี้ที่ล่าช้าหรือปิดลาย.
    • ความจำเป็นในการขอสินเชื่อเพิ่ม: เมื่อ Solvency Ratio น้อยกว่า 1, บริษัทอาจต้องพยายามหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเพื่อชำระหนี้หรือรองรับความต้องการเงิน เช่น การขอสินเชื่อเพิ่ม, การออกหุ้นส่วนเพิ่ม, หรือการลดค่าใช้จ่าย.
    • นิยมลำบากในการขอสินเชื่อ: บริษัทที่มี Solvency Ratio ต่ำอาจพบว่าการขอสินเชื่อในอนาคตยากขึ้นเนื่องจากธนาคารและผู้ให้สินเชื่ออื่น ๆ อาจไม่เชื่อมั่นในความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท.
    • การเสี่ยงในการล้มละลาย: Solvency Ratio ที่ต่ำอาจทำให้บริษัทเจอกับความเสี่ยงในการล้มละลาย ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทต้องปิดกิจการ

Solvency Ratio เท่ากับ 1

ถ้า Solvency Ratio เท่ากับ 1, นั่นหมายความว่า ทรัพย์สินรวม (Total Assets) ขององค์กรหรือบริษัทเท่ากับหนี้สินรวม (Total Liabilities) หรือรายการหนี้ที่ต้องชำระหมดทั้งหมดในระดับนั้นๆ นี้ นั่นหมายความว่า องค์กรหรือบริษัทมีทรัพย์สินพอเพียงเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดที่ต้องชำระ และไม่มีส่วนของหนี้สินเกินทรัพย์สินใดๆ นอกจากนี้ การ Solvency Ratio เท่ากับ 1 ยังแสดงถึงสถานะความคงทนทางการเงินขององค์กรหรือบริษัทในระดับที่มั่นคง ไม่มีความต้องการเพิ่มหนี้หรือสนองต่อการเงินอื่น ๆ เพิ่มเติมในระดับนั้น และมีทรัพย์สินเพียงพอในการรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างปกติโดยไม่มีความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้การ Solvency Ratio เท่ากับ 1 ยังหมายความว่าบริษัทไม่มีความสามารถในการสร้างความรวยด้วยการกำหนดเงินทุนหรือการลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากทรัพย์สินและหนี้สินมีมูลค่าเท่ากันและไม่มีส่วนเงินเหลือเหล่านี้ที่สามารถใช้ในการขยายธุรกิจได้

ตัวอย่าง Solvency Ratio

การวิเคราะห์ Solvency Ratio ต้องพิจารณาร่วมกับข้อมูลการเงินอื่น ๆ และต้องคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของบริษัทหรือองค์กร รวมถึงลักษณะของธุรกิจและสภาวะของตลาดด้วย เนื่องจาก Solvency Ratio เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์การเงินที่ทำให้เข้าใจความคงทนในการชำระหนี้และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการเงินอย่างครอบคลุม ตัวอย่าง Solvency Ratio ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่าง Solvency Ratio
ตัวอย่าง Solvency Ratio

เพื่อให้คุณเข้าใจการคิด Solvency Ratio มากขึ้น นี่คือตัวอย่างการคิด Solvency Ratio โดยใช้ข้อมูลการเงินเบื้องต้น โดยสมมติว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัท ABC Company และคุณมีข้อมูลการเงินดังนี้

      • ทรัพย์สินรวม (Total Assets) = 5,000,000 บาท
      • หนี้สินรวม (Total Liabilities) = 3,000,000 บาท

เราสามารถคำนวณ Solvency Ratio ได้โดยใช้สูตร:

Solvency Ratio=5,000,000 / 3,000,000  = 1.67

Solvency Ratio ของบริษัท ABC Company คือ 1.67 ซึ่งแสดงว่าบริษัทมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินอย่างน้อย 1.67 เท่า ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีความคงทนในการชำระหนี้และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการเงินของตนเอง แม้ว่าค่า Solvency Ratio ที่ต่ำกว่า 1 ยังไม่ถือว่าเป็นความเสี่ยงมาก แต่ค่าที่สูงกว่าแสดงให้เห็นถึงความเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทมากขึ้น

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างการคิด Solvency Ratio โดยใช้ข้อมูลการเงินของบริษัท XYZ Corporation:

      • ทรัพย์สินรวม (Total Assets): 10,000,000 บาท
      • หนี้สินรวม (Total Liabilities): 4,000,000 บาท

เราสามารถคำนวณ Solvency Ratio ได้โดยใช้สูตร

ดังนั้น Solvency Ratio ของบริษัท XYZ Corporation คือ 2.5 หมายความว่าบริษัทมีทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่าของหนี้สินรวม ซึ่งแสดงว่าบริษัทมีความคงทนทางการเงินที่ดีและมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีกว่า โดยค่า Solvency Ratio ที่ดีจะขึ้นอยู่กับธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เป็นลักษณะพิเศษ แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่า Solvency Ratio ที่มากกว่า 1 จะถือว่าดี และค่าที่มากกว่า 2 หรือ 3 จะยิ่งดีขึ้นเพิ่มขึ้น

Solvency Risk คืออะไร

ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับความไม่สามารถชำระหนี้หรือ Solvency Risk เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่บุคคลหรือธุรกิจอาจไม่สามารถชำระหนี้หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินหรือการเข้าขายกำลังคงทนต่อการทำธุรกิจในระยะยาว ความเสี่ยงนี้อาจเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างทรัพย์สินและหนี้สิน การจัดการการเงินที่ไม่ถูกต้อง หรือเหตุการณ์ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดี, ความสูงของอัตราดอกเบี้ย, การสูญเสียลูกค้าสำคัญ, หรือการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้.

การวิเคราะห์ Solvency Risk จะมีการใช้อัตราส่วนและข้อมูลการเงินเพื่อประเมินความคงทนของธุรกิจหรือบุคคลในการชำระหนี้ในระยะยาว โดย Solvency Ratio เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมิน Solvency Risk โดยปกติค่า Solvency Ratio ที่สูงขึ้นแสดงว่าความคงทนต่อการชำระหนี้ดีขึ้น แต่ความเสี่ยงยังต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น โครงสร้างหนี้สิน การจัดการการเงิน และสภาพความเสี่ยงภายนอก เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ Solvency Risk ของธุรกิจหรือบุคคลในทางการเงิน

การวิเคราะห์ Solvency Risk

การวิเคราะห์ Solvency Risk เป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความไม่สามารถชำระหนี้ การวิเคราะห์นี้ช่วยให้บริษัทหรือบุคคลสามารถรับมือกับความเสี่ยงนี้ได้อย่างเหมาะสม ดังนี้คือขั้นตอนที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ Solvency Risk:

การวิเคราะห์ Solvency Risk
การวิเคราะห์ Solvency Risk
  1. เก็บข้อมูลการเงิน: ในขั้นตอนแรกคุณจะต้องรวบรวมข้อมูลการเงินที่จำเป็น เช่น งบการเงินปีล่าสุด, รายงานการเงิน, รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน, และข้อมูลการเงินที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่อาจมีความสำคัญ.
  2. คำนวณ Solvency Ratios: ใช้อัตราส่วนทางการเงินเพื่อประเมินความคงทนต่อการชำระหนี้ขององค์กรหรือบุคคล โดยใช้ Solvency Ratio หรืออัตราส่วนอื่น ๆ เช่น Debt-to-Equity Ratio, Current Ratio, และ Interest Coverage Ratio.
  3. วิเคราะห์แนวโน้ม: ศึกษาแนวโน้มของ Solvency Ratios และตัวชี้วัดอื่น ๆ ในช่วงเวลาย้อนหลัง เพื่อเข้าใจว่ามีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อความคงทนต่อการชำระหนี้.
  4. วิเคราะห์โครงสร้างหนี้สิน: สำรวจโครงสร้างหนี้สินขององค์กรหรือบุคคล ว่าหนี้สินเป็นหนี้สินสั้น หรือหนี้สินยาว และว่ามีการจัดการการเงินใด ๆ เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน.
  5. ประเมินความเสี่ยงภายนอก: พิจารณาปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อ Solvency Risk เช่น สภาพเศรษฐกิจทั่วไป, ความเสี่ยงตลาด, และสภาพการเงินของลูกค้าหรือพันธมิตรธุรกิจ.
  6. สรุปและตัดสินใจ: พิจารณาข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมดเพื่อสรุปความเสี่ยงทางการเงินและตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการที่ควรทำเพื่อจัดการ Solvency Risk อย่างเหมาะสม เช่น การลดหนี้สิน, การเพิ่มทุน, หรือการจัดการสินทรัพย์ให้เป็นทรัพย์สินที่สามารถหมุนเวียนได้มากขึ้น.