Quick Ratio คือ Acid-Test Ratio สูตร การคำนวณ Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี ตัวอย่างการคำนวณ วิธีใช้และคุณสมบัติ

Quick Ratio คืออะไร

Quick Ratio (หรือ Acid-Test Ratio) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดความสามารถขององค์กรในการต่อต้านความไม่แน่นอนในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการกระทำทางธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่า Quick Ratio คำนวณโดยหารสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและสมทบด้วยเงินลูกหนี้การค้า (accounts receivable) ด้วยหนี้สินรวม (current liabilities) ซึ่งรวมถึงหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้น

Quick Ratio คือ Acid Test Ratio สูตร การคำนวณ Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี ตัวอย่างการคำนวณ วิธีใช้และคุณสมบัติ
Quick Ratio คือ Acid Test Ratio สูตร การคำนวณ Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี ตัวอย่างการคำนวณ วิธีใช้และคุณสมบัติ

Quick Ratio มีไว้เพื่อวัดความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นเงินสดหรือสามารถชำระหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยค่า Quick Ratio ที่สูงกว่าหนึ่งจะแสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการชำระหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้ดีกว่า แต่ถ้าค่า Quick Ratio ต่ำกว่าหนึ่งจะแสดงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการชำระหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นในกรณีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ปกติแล้ว ค่า Quick Ratio ที่ถือว่าดีอยู่ในช่วง 0.5 ถึง 1.0 หรือสูงกว่านั้นถือว่าความสามารถในการชำระหนี้สินในระยะสั้นมีความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น

สูตรการคำนวณ Quick Ratio

สูตรการคำนวณ Quick Ratio (หรือ Acid-Test Ratio) คือ:

Quick Ratio = (เงินสด + เงินลูกหนี้การค้า) / หนี้สินรวม

ในสูตรนี้:

    • “เงินสด” คือ จำนวนเงินที่มีอยู่ในรูปเงินสดหรือเงินฝากแบงค์ที่สามารถใช้งานได้ทันที
    • “เงินลูกหนี้การค้า” คือ จำนวนเงินที่ลูกหนี้ค้างชำระให้กับองค์กรในระยะสั้น
    • “หนี้สินรวม” คือ หนี้ที่ต้องชำระในระยะสั้นทั้งหมด

ค่า Quick Ratio ที่ได้จากสูตรนี้จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจ่ายหนี้สินในระยะสั้นขององค์กร ถ้าค่า Quick Ratio มากกว่า 1 แสดงว่ามีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้ามากพอที่จะสามารถชำระหนี้สินรวมในระยะสั้นได้ ถ้าค่า Quick Ratio ต่ำกว่า 1 องค์กรอาจจะมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้สินในระยะสั้นได้ในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือความไม่แน่นอนทางการเงิน

Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี

ค่า Quick Ratio ที่ถือว่าดีหรือเหมาะสมจะขึ้นอยู่กับองค์กรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ภาษีที่ต้องจ่ายในระยะสั้นหรือปัญหาการเงินที่อาจเกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ค่า Quick Ratio ที่น่าสนใจสำหรับองค์กรจะอยู่ในช่วง 1 ถึง 1.5 เป็นทั่วไป แต่อาจมีความแตกต่างในแต่ละธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ นี่คือวิธีการอธิบายค่า Quick Ratio ที่แตกต่าง

Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี
Quick Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี
  • Quick Ratio มากกว่า 1: ถือว่าดีและสม่ำเสมอ

ค่า Quick Ratio มากกว่า 1 หมายถึงว่าองค์กรมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้ามากพอที่จะชำระหนี้สินรวมในระยะสั้นได้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าองค์กรมีความพร้อมทางการเงินในกรณีฉุกเฉิน

  • Quick Ratio ใกล้ 1: ยังถือว่าดี แต่อาจไม่ค่อยมีเว้นว่างสำหรับความไม่แน่นอน

ค่า Quick Ratio ระหว่าง 1 ถึง 1 องค์กรอาจมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้าที่พอมากที่จะช่วยในการชำระหนี้สินรวมในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดยังคงมี

  • Quick Ratio น้อยกว่า 1: อาจส่งสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงทางการเงิน

ค่า Quick Ratio น้อยกว่า 1 หมายความว่าสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้าอาจไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้สินรวมในระยะสั้น นี่อาจเป็นสัญญาณว่าองค์กรอาจมีความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด

ตัวอย่างการคำนวณ Quick Ratio

ตัวอย่างที่ 1

สมมุติว่าบริษัท ABC มีข้อมูลการเงินต่อไปนี้:

    • เงินสด: 10,000 บาท
    • เงินลูกหนี้การค้า: 15,000 บาท
    • หนี้สินรวม: 18,000 บาท

เราสามารถคำนวณ Quick Ratio ด้วยสูตรที่ได้กล่าวมาแล้ว: Quick Ratio = (เงินสด + เงินลูกหนี้การค้า) / หนี้สินรวม

ในที่นี้:

    • เงินสด = 10,000 บาท
    • เงินลูกหนี้การค้า = 15,000 บาท
    • หนี้สินรวม = 18,000 บาท

เราจะคำนวณตามสูตร: Quick Ratio = (10,000 + 15,000) / 18,000 = 25,000 / 18,000 ≈ 1.39

ดังนั้น ค่า Quick Ratio ของบริษัท ABC ในตัวอย่างนี้คือประมาณ 1.39 ซึ่งถือว่าดีและแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถชำระหนี้สินรวมที่ต้องชำระในระยะสั้นได้ ณ จุดเวลานั้น โดยมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้าที่เพียงพอสำหรับการช่วยชำระหนี้สินรวมที่ต้องชำระในระยะสั้น

ตัวอย่างที่ 2

สมมุติว่าเรามีบริษัท XYZ ที่มีข้อมูลการเงินต่อไปนี้:

ตัวอย่างการคำนวณ Quick Ratio
ตัวอย่างการคำนวณ Quick Ratio
    • เงินสด: 20,000 บาท
    • เงินลูกหนี้การค้า: 8,000 บาท
    • สินค้าคงเหลือ: 12,000 บาท
    • หนี้สินรวม: 15,000 บาท

เราต้องทำการประมวลผลเพื่อคำนวณ Quick Ratio: Quick Ratio = (เงินสด + เงินลูกหนี้การค้า) / หนี้สินรวม

ในที่นี้:

    • เงินสด = 20,000 บาท
    • เงินลูกหนี้การค้า = 8,000 บาท
    • หนี้สินรวม = 15,000 บาท

เราจะคำนวณตามสูตร: Quick Ratio = (20,000 + 8,000) / 15,000 = 28,000 / 15,000 ≈ 1.87

ดังนั้น ค่า Quick Ratio ของบริษัท XYZ ในตัวอย่างนี้คือประมาณ 1.87 ซึ่งยังคงถือว่าดีและแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถชำระหนี้สินรวมในระยะสั้นได้โดยมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้าที่เพียงพอสำหรับการช่วยชำระหนี้สินรวมที่ต้องชำระในระยะสั้น

วิธีการใช้ Quick Ratio

การใช้ Quick Ratio เป็นการวิเคราะห์และประเมินความสามารถทางการเงินขององค์กรในการจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้น ดังนั้น คุณสามารถใช้ Quick Ratio เพื่อตรวจสอบว่าองค์กรมีความพร้อมทางการเงินในระดับที่เพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้หรือไม่ นี่คือวิธีการใช้ Quick Ratio:

  1. วิเคราะห์ค่า Quick Ratio:
    • ถ้าค่า Quick Ratio มากกว่า 1: องค์กรมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดและเงินลูกหนี้การค้ามากพอที่จะช่วยชำระหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่ามีความพร้อมทางการเงินในการจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้น
    • ถ้าค่า Quick Ratio ใกล้ 1: องค์กรอาจมีความพร้อมทางการเงินในการจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในสั้น แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่
    • ถ้าค่า Quick Ratio น้อยกว่า 1: องค์กรอาจมีความเสี่ยงทางการเงินที่จะไม่สามารถจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้ เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือความไม่แน่นอน
  2. เปรียบเทียบกับองค์กรอื่น:
    • ค่า Quick Ratio สามารถใช้เปรียบเทียบกับองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือกลุ่มอื่นๆ เพื่อดูว่าองค์กรมีความพร้อมทางการเงินมากหรือน้อยกว่าคู่แข่ง
  3. ติดตามแนวโน้ม:
    • สำหรับองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงในข้อมูลการเงิน คุณสามารถติดตามค่า Quick Ratio เพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงความพร้อมทางการเงินขององค์กรในระยะสั้น
  4. วิเคราะห์เพิ่มเติม:
    • ค่า Quick Ratio เป็นข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่ใช้ในการประเมินความพร้อมทางการเงิน ควรร่วมมองอื่นๆ ด้วย เช่น Current Ratio, Debt-to-Equity Ratio และอัตราผลกำไรสุทธิ เพื่อเข้าใจภาพรวมของสภาวะการเงินที่มีความคล่องแคล่วและเสี่ยงทางการเงิน

คุณสมบัติของ Quick Ratio

คุณสมบัติหลักของ Quick Ratio เป็นคุณลักษณะที่ช่วยให้เราทราบถึงความสามารถขององค์กรในการจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้น ดังนี้

ความคล่องแคล่วทางการเงิน (Financial Flexibility)

ความคล่องแคล่วทางการเงิน (Financial Flexibility) เป็นคุณลักษณะทางการเงินที่วัดความสามารถขององค์กรในการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่คาดคิด ความคล่องแคล่วนั้นสำคัญเพราะสภาวะการเงินขององค์กรอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงในตลาด, สภาพเศรษฐกิจ, นโยบายเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงในวงจรการเงิน ฯลฯ ความคล่องแคล่วทางการเงินมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมีผลต่อความสามารถขององค์กรในการ

ความคล่องแคล่วทางการเงิน (Financial Flexibility)
ความคล่องแคล่วทางการเงิน (Financial Flexibility)
    • จ่ายหนี้สิน: องค์กรที่มีความคล่องแคล่วทางการเงินสูงมักจะมีสามารถในการจ่ายหนี้สินที่ต้องชำระในระยะสั้นได้เมื่อมีความจำเป็น โดยไม่ต้องขาดทุนหรือมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
    • ลงทุน: องค์กรที่มีความคล่องแคล่วทางการเงินมีโอกาสที่จะลงทุนในโครงการหรือสิ่งที่เสี่ยงกว่า ซึ่งอาจมีผลต่อการเติบโตและกำไรในอนาคต
    • ปรับตัวเมื่อมีความเปลี่ยนแปลง: องค์กรที่มีความคล่องแคล่วทางการเงินสามารถปรับกิจกรรมทางธุรกิจได้ง่ายขึ้นเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในสภาวะการเงินหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
    • รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน: องค์กรที่มีความคล่องแคล่วทางการเงินสูงมีสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น เช่น การเงินวิกฤต, การตลาดที่เปลี่ยนแปลง, ฯลฯ

การป้องกันความไม่แน่นอน (Risk Mitigation)

การป้องกันความไม่แน่นอน (Risk Mitigation) เป็นกระบวนการหรือกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในองค์กร ซึ่งอาจเป็นความไม่แน่นอนทางการเงินหรือสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อกิจกรรมหรือเป้าหมายขององค์กรได้ การป้องกันความไม่แน่นอนเป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการรายได้และความเสี่ยงในธุรกิจ เพื่อให้มีความพร้อมในการจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด บางวิธีและกลยุทธ์ที่ใช้ในการป้องกันความไม่แน่นอนได้แก่

    1. การสร้างสำรองเงินสด (Cash Reserves): การสร้างสำรองเงินสดในขณะที่ธุรกิจยังเจริญรุ่งเรืองช่วยให้องค์กรมีทุนสำรองทางการเงินที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การลดยอดขาย ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เป็นต้น
    2. การปรับแต่งโครงสร้างหนี้สิน (Debt Restructuring): หากองค์กรมีหนี้สินมากเกินไป อาจพิจารณาในการติดต่อกับลูกหนี้เพื่อเพิ่มระยะเวลาในการชำระหนี้หรือลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความเสี่ยงในการจ่ายหนี้สิน
    3. การควบคุมต้นทุนและการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย (Cost Control and Expense Management): การตรวจสอบและควบคุมต้นทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรงและเสถียร
    4. การควบคุมการจัดการความเสี่ยง (Risk Management): การจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันความไม่แน่นอน การสำรวจและการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนในการจัดการเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
    5. การความร่วมมือและพันธมิตรธุรกิจ (Collaboration and Business Partnerships): การเชื่อมโยงกับคู่ค้าและพันธมิตรธุรกิจที่สามารถสนับสนุนองค์กรในกรณีเกิดความไม่แน่นอน เช่น การสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบ การเข้าสู่ตลาดใหม่ เป็นต้น

การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)

การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในบริษัทหรือองค์กร การทำความเข้าใจและประเมินความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญของการจัดการทางธุรกิจและการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นการวิเคราะห์ความเสี่ยงจะช่วยให้องค์กรทราบถึงความเสี่ยงที่เป็นไปได้และรับมือกับความเสี่ยงนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่า Quick Ratio ต่ำอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าองค์กรมีความเสี่ยงทางการเงินในกรณีเกิดสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง การใช้ค่า Quick Ratio ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น Current Ratio และ Debt-to-Equity Ratio ช่วยให้เราได้ภาพรวมของความเสี่ยงทางการเงินที่มีการประเมินมากขึ้น

การเปรียบเทียบองค์กร

การเปรียบเทียบองค์กรเป็นกระบวนการที่เรานำข้อมูลและข้อมูลทางธุรกิจขององค์กรต่างๆ มาเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างองค์กรเหล่านั้น การเปรียบเทียบองค์กรเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลและมุมมองที่ช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ นี่คือขั้นตอนหลักในกระบวนการการเปรียบเทียบองค์กร:

    • เลือกองค์กรที่จะเปรียบเทียบ: เลือกองค์กรที่เป็นคู่แข่งหรือใกล้เคียงกันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเลือกองค์กรที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่สามารถใช้ในการเปรียบเทียบได้เหมาะสม
    • รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น: รวบรวมข้อมูลทางธุรกิจและข้อมูลการเงินขององค์กรทั้งสอง เช่น รายงานการเงินทางปี, ข้อมูลการขาย, กำไรสุทธิ, สัดส่วนการเงิน, และข้อมูลทางธุรกิจอื่นๆ
    • เลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสม: เลือกตัวชี้วัดทางธุรกิจที่เหมาะสมในการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบองค์กร เช่น อัตราผลกำไรสุทธิ, มาร์จิ้นกำไรขั้นต้น, อัตราเจริญเติบโต, อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์, และอื่นๆ
    • วิเคราะห์และเปรียบเทียบ: วิเคราะห์ข้อมูลและตัวชี้วัดที่เลือกไว้เพื่อทำการเปรียบเทียบระหว่างองค์กร สังเกตข้อแตกต่างและข้อได้เปรียบที่มากขึ้น คำถามที่ควรพิจารณาได้รวมถึงว่าองค์กรไหนมีผลงานที่ดีกว่าหรือความเสี่ยงที่น้อยกว่า

การตรวจสอบแนวโน้ม

การตรวจสอบแนวโน้มของ Quick Ratio เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิเคราะห์ความพร้อมทางการเงินขององค์กรในระยะยาว นี่เป็นวิธีการติดตามว่าความสามารถในการจ่ายหนี้สินในระยะสั้นขององค์กรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดเวลา นี่คือขั้นตอนในการตรวจสอบแนวโน้มของ Quick Ratio:

การตรวจสอบแนวโน้ม
การตรวจสอบแนวโน้ม
    • รวบรวมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินสด หนี้สินรวม และเงินลูกหนี้การค้าในช่วงเวลาที่ต้องการตรวจสอบแนวโน้ม และจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นชุดข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น รายงานการเงินทางรายไตรมาสหรือปี
    • คำนวณค่า Quick Ratio: คำนวณค่า Quick Ratio สำหรับแต่ละช่วงเวลาที่ต้องการตรวจสอบ โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมไว้ ซึ่งค่า Quick Ratio จะช่วยในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความพร้อมทางการเงิน
    • เปรียบเทียบและวิเคราะห์แนวโน้ม: เปรียบเทียบค่า Quick Ratio ระหว่างช่วงเวลาที่ต่างกัน เช่น ระหว่างไตรมาสหรือระหว่างปี วิเคราะห์แนวโน้มว่าค่า Quick Ratio เพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
    • หาปัจจัยที่เป็นตัวชี้วัด: ในกรณีที่ค่า Quick Ratio เปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง ให้หาปัจจัยที่อาจเป็นตัวชี้วัดที่ส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายหนี้สินในระยะสั้น ตัวชี้วัดเหล่านี้อาจเป็นเงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือเงินลูกหนี้การค้าที่ช้าหรือรวดเร็ว อาจเกิดจากยอดขายเพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือการเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
    • วิเคราะห์ผลกระทบและการปรับแนวทาง: หากพบว่า Quick Ratio มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง ต้องวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในองค์กร เช่น ความสามารถในการจ่ายหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอาจมีผลต่อความเสี่ยงทางการเงิน หรือการวางแผนแนวทางในการปรับปรุงสภาพการเงิน