leverage ratio คืออะไร สูตรคำนวณ Financial Leverage ratio อธิบายการคำนวณพร้อมยกตัวอย่าง คุณสมบัติและข้อดีข้อเสีย

leverage ratio คืออะไร

“Leverage Ratio” เป็นตัววัดที่ใช้ในการวัดความสามารถของธนาคารหรือสถาบันการเงินในการจัดการกับความเสี่ยงทางการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการกู้ยืมและการใช้เงินในการลงทุน อัตราส่วนนี้ช่วยให้ผู้ตรวจสอบและผู้ลงทุนทราบถึงความเสี่ยงที่ธนาคารมีต่อการขาดทุนเมื่อเกิดปัญหาในตลาดหรือสภาวะเศรษฐกิจที่น่าสนใจ อัตราส่วนการกู้ยืมจะสามารถช่วยควบคุมการใช้สินทรัพย์ของธนาคารและจำกัดการกู้ยืมเพื่อให้เกิดความเสี่ยงทางการเงินที่เหมาะสมต่อความสามารถของธนาคาร

อัตราส่วนการกู้ยืมหรือ Leverage Ratio คำนวณโดยการหารยอดสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารหรือสถาบันการเงินด้วยเงินทุนสุทธ์ (ค่าสุทธิของส่วนของเจ้าของทุนหลังจากหักหนี้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ) อัตราส่วนนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเมื่อเทียบกับทุนของธนาคาร โดยอัตราส่วนที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับค่าที่กำหนดจะแสดงถึงว่าธนาคารมีการกำกับความเสี่ยงอย่างมีเสถียรภาพและไม่พึงกังวลในการเกิดสภาวะที่เสี่ยงต่อการขาดทุนจากการกู้ยืมเกินไป

สูตรคำนวณ Financial Leverage ratio

อัตราส่วนการกู้ยืมหรือ Financial Leverage Ratio คำนวณได้ด้วยสูตรดังนี้

Financial Leverage ratio
Financial Leverage ratio

อัตราส่วนการกู้ยืมนี้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้รับผิดชอบการตัดสินใจสามารถประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการใช้หนี้สินเพื่อการเงินองค์กรหรือธนาคาร อัตราส่วนที่มากขึ้นจะแสดงถึงการใช้หนี้สินมากเมื่อเทียบกับทุนขององค์กร ซึ่งอาจเสี่ยงต่อความขาดทุนในกรณีที่ไม่คาดคิดหรือเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกัน อัตราส่วนที่ต่ำลงจะแสดงถึงการใช้หนี้สินน้อยกว่าและความเสี่ยงทางการเงินที่น้อยลงในกรณีเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในตลาดหรือเศรษฐกิจด้อยลง

ยกตัวอย่าง Financial Leverage ratio

การวิเคราะห์ Financial Leverage Ratio ควรทำร่วมกับการพิจารณาสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและปัจจัยที่อาจมีผลต่อสัมครภาพการดำเนินงานขององค์กรหรือธนาคารในอนาคต การใช้หนี้สินสามารถสร้างโอกาสในการลงทุนและเพิ่มผลกำไรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง Financial Leverage ratio ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

ถ้าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรือธนาคารที่มีค่าหนี้สินรวม (Total Debt) เป็น 500,000 หน่วยเงิน และค่าส่วนของเจ้าของทุนหลังจากหักหนี้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Total Equity) เป็น 800,000 หน่วยเงิน ให้เราคำนวณ Financial Leverage Ratio ด้วยสูตร

ดังนั้น Financial Leverage Ratio ในกรณีนี้คือ 0.625 หรือ 62.5% ซึ่งหมายความว่าสำหรับแต่ละหน่วยเงินที่เจ้าของทุนลงทุนเข้าไปในองค์กร มีหนี้สินอีก 0.625 หน่วยเงิน หรือสามารถกล่าวได้ว่ามีการใช้หนี้สินเพื่อการเงินอยู่ในอัตราส่วนนี้

ตัวอย่างที่ 2

สมมติว่าคุณมีบริษัท ABC Inc. ที่มีข้อมูลการเงินดังนี้

    • หนี้สินรวม (Total Debt): 1,000,000 หน่วยเงิน
    • ส่วนของเจ้าของทุนหลังหักหนี้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Total Equity): 2,000,000 หน่วยเงิน

ดังนั้น Financial Leverage Ratio ในกรณีนี้คือ 0.5 หรือ 50% ซึ่งหมายความว่า สำหรับแต่ละหน่วยเงินที่เจ้าของทุนลงทุนเข้าไปในบริษัท ABC Inc. มีหนี้สินอีก 0.5 หน่วยเงิน หรือสามารถกล่าวได้ว่ามีการใช้หนี้สินเพื่อการเงินอยู่ในอัตราส่วนนี้

คุณสมบัติของ leverage ratio

Leverage Ratio หรืออัตราส่วนการกู้ยืมเป็นตัวบ่งชี้ทางการเงินที่ช่วยในการวัดและประเมินความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สินและทุนขององค์กร มีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้:

การวัดความเสี่ยงทางการเงิน

Leverage Ratio ช่วยให้ผู้บริหารและผู้ลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการใช้หนี้สิน โดยการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สินและทุนขององค์กร อัตราส่วนที่สูงขึ้นอาจแสดงถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับทุนและองค์กรมีความเสี่ยงในการขาดทุนเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด มีหลายวิธีในการวัดความเสี่ยงทางการเงิน แต่ละวิธีมีเป้าหมายและขั้นตอนที่แตกต่างกันตามการใช้งานและประเด็นที่ต้องการการวิเคราะห์ ตัวอย่างของเครื่องมือวัดความเสี่ยงทางการเงินที่ใช้กันแพร่หลายรวมถึง

    • Ratio Analysis (การวิเคราะห์อัตราส่วน): การวิเคราะห์อัตราส่วนการเงินเป็นการหาค่าอัตราส่วนต่าง ๆ ที่เกิดจากการนำข้อมูลทางการเงินออกมาเปรียบเทียบ เช่น อัตราส่วนการกำไรสุทธิถึงยอดขาย (Net Profit Margin) หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเจ้าของ (Debt-to-Equity Ratio) เป็นต้น
    • Stress Testing (การทดสอบความแข็งแกร่งในสถานการณ์ที่เสี่ยง): การทดสอบความแข็งแกร่งทางการเงินโดยใช้สถานการณ์ที่เสี่ยงเพื่อประเมินผลกระทบต่อสภาพการเงิน ตัวอย่างเช่นการทดสอบว่าองค์กรหรือธนาคารสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอีกเท่าใด
    • Scenario Analysis (การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงิน): การวิเคราะห์ผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง หรือสถานการณ์เศรษฐกิจที่เสื่อมถอยลง
    • Sensitivity Analysis (การวิเคราะห์ความไวต่อการเปลี่ยนแปลง): การวิเคราะห์ความไวของผลกระทบทางการเงินเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรที่สำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน
    • Monte Carlo Simulation (การจำลองสถานการณ์ทางการเงินด้วยการจำลองมอนเตคาร์โล): การใช้วิธีการจำลองเชิงคณิตศาสตร์เพื่อประมาณผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์ที่เป็นไปได้ตามการกระจายของตัวแปรต่าง ๆ

การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่องค์กรหรือบุคคลทำเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ การจัดการความเสี่ยงช่วยลดโอกาสในการเกิดปัญหาหรือความขาดทุนและเพิ่มโอกาสในการบรรลุผลกำไรหรือเป้าหมายขององค์กร ผู้บริหารอาจใช้ Leverage Ratio เพื่อวางแผนและตัดสินใจในการจัดการความเสี่ยงทางการเงินนี่คือขั้นตอนและข้อมูลที่สำคัญในกระบวนการจัดการความเสี่ยง:

การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยง
    • การระบุความเสี่ยง: การเริ่มกระบวนการจัดการความเสี่ยงคือการระบุและตรวจสอบความเสี่ยงที่องค์กรอาจพบเจอ ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงจากการใช้หนี้สิน หรือความเสี่ยงทางกฎหมาย เช่น ความเสี่ยงจากการไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ
    • การประเมินและวัดความเสี่ยง: หลังจากระบุความเสี่ยง เป็นการประเมินและวัดความเสี่ยงว่ามีผลกระทบอย่างไรต่อองค์กร และวัดความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงทางกฎหมาย ความเสี่ยงทางด้านสุขภาพและความปลอดภัย
    • การวางแผนการจัดการความเสี่ยง: หลังจากประเมินความเสี่ยง ต่อไปคือการวางแผนว่าจะจัดการความเสี่ยงในลักษณะใด อาจมีการตัดสินใจในการรับความเสี่ยง การลดความเสี่ยง หรือการทำประกันความเสี่ยง
    • การดำเนินการจัดการความเสี่ยง: หลังจากวางแผน คือการดำเนินการจัดการความเสี่ยงตามที่วางไว้ เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงิน เพื่อลดการใช้หนี้สิน การสร้างมาตรการความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ หรือการดำเนินการอื่น ๆ
    • การตรวจสอบและการทบทวน: การตรวจสอบและการทบทวนความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องทำเป็นระยะ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดการความเสี่ยงยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้

การเปรียบเทียบระหว่างบริษัท

Leverage Ratio ช่วยในการเปรียบเทียบสภาพการเงินของบริษัทที่แตกต่างกัน ในการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมหรือกลุ่มเดียวกัน อัตราส่วนการกู้ยืมสามารถช่วยในการพิจารณาถึงความเสี่ยงและความสามารถในการจัดการความเสี่ยงทางการเงินของแต่ละบริษัท โดยการเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เข้าใจความแตกต่างและความสมบูรณ์ของข้อมูลทางการเงินของแต่ละบริษัท ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น เลือกบริษัทที่จะเปรียบเทียบ, เลือกองค์ประกอบที่จะวิเคราะห์, รวบรวมข้อมูล, คำนวณและวิเคราะห์, ตรวจสอบบัญชีเงินสดและหลักทรัพย์ที่เอียงเชิง, พิจารณาสภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม, และทำสรุปผลการเปรียบเทียบระหว่างบริษัททั้งสิ้น เพื่อให้สามารถดำเนินการวิเคราะห์ที่มีความหมายและประสิทธิภาพได้มากขึ้น

การประเมินความเสี่ยงในการลงทุน

การประเมินความเสี่ยงในการลงทุนหมายถึงกระบวนการที่ผู้ลงทุนใช้ข้อมูลและข้อสรุปเพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น ๆ บางประเภทของการลงทุนอาจมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับอื่น ๆ และการประเมินความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ และวิธีการจัดการการลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถใช้ Leverage Ratio เพื่อประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท หากองค์กรมี Leverage Ratio สูง เมื่อมีความขาดทุน ผู้ลงทุนอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนที่สูงขึ้นในการลงทุน

ความสัมพันธ์กับการดำเนินธุรกิจ

ความสัมพันธ์ระหว่าง Leverage Ratio และการดำเนินธุรกิจขององค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากอัตราส่วนการกู้ยืมนี้สามารถมีผลต่อผลประกอบการและความสามารถในการทำกำไรขององค์กรได้ และ Leverage Ratio อาจมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรขององค์กร ในบางกรณี การใช้หนี้สินอาจช่วยเพิ่มผลกำไรเมื่อสภาวะเศรษฐกิจดี แต่ในกรณีที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยลง อัตราส่วนการกู้ยืมสูงอาจทำให้ความขาดทุนเพิ่มขึ้น นี่คือบางความสัมพันธ์ที่สังเกตได้:

    • ผลกำไรและขาดทุน: อัตราส่วนการกู้ยืมสามารถมีผลต่อผลกำไรและขาดทุนขององค์กร หากองค์กรใช้หนี้สินเพื่อการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำกำไรได้จากการลงทุน อัตราส่วนที่สูงขึ้นอาจเพิ่มผลกำไรเมื่อสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน อัตราส่วนที่สูงเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือเศรษฐกิจเสื่อมถอยลง องค์กรอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนที่มากขึ้น
    • ความนำทางและแผนกลยุทธ์: อัตราส่วนการกู้ยืมอาจมีผลต่อแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจขององค์กร องค์กรที่มี Leverage Ratio สูงอาจมีแผนกลยุทธ์ในการลงทุนและการใช้หนี้สินอย่างมากเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ในขณะที่องค์กรที่มี Leverage Ratio ต่ำลงอาจเน้นการดำเนินธุรกิจโดยใช้ทุนสดมากกว่า
    • ความเสี่ยงทางการเงิน: Leverage Ratio เชื่อมโยงกับความเสี่ยงทางการเงินขององค์กร องค์กรที่มีการกู้ยืมมากในอัตราส่วนสูงอาจมีความเสี่ยงทางการเงินสูงเมื่อเกิดสถานการณ์ที่มีผลต่อการชำระหนี้ และองค์กรที่มีการกู้ยืมน้อยในอัตราส่วนต่ำลง จะมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่า
    • การเตรียมความพร้อมเงินทุน: อัตราส่วนการกู้ยืมสามารถมีผลต่อความเสี่ยงที่องค์กรสามารถรับมือได้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน องค์กรที่มีการกู้ยืมมากอาจต้องมีการเตรียมความพร้อมเงินทุนเพื่อรองรับการชำระหนี้ ในขณะที่องค์กรที่มีการกู้ยืมน้อยลงอาจมีความยืดหยุ่นในการจัดการเงินทุน
    • การดำเนินการเพิ่มขึ้นหรือลดลง: Leverage Ratio อาจมีผลต่อความสามารถในการดำเนินกิจการขององค์กรในการขยายตัวหรือลดขนาด อัตราส่วนการกู้ยืมสูงอาจช่วยในการขยายกิจการได้เร็วขึ้น ในขณะที่องค์กรที่มี Leverage Ratio ต่ำลงอาจต้องพิจารณาถึงความสามารถในการลดขนาดหรือปรับกลยุทธ์การดำเนินกิจการ

ข้อดีและข้อเสียของ leverage ratio

Leverage Ratio มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาเมื่อใช้เป็นตัวบ่งชี้ในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สินและทุนขององค์กรหรือธนาคาร:

ข้อดีและข้อเสียของ leverage ratio
ข้อดีและข้อเสียของ leverage ratio

ข้อดีของ Leverage Ratio

    • วัดความเสี่ยงทางการเงิน: Leverage Ratio ช่วยให้ผู้บริหารและผู้ลงทุนเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหนี้สินและทุน และช่วยวัดความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการใช้หนี้สินในองค์กร การมีความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้นอาจทำให้ผู้บริหารตระหนักถึงการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
    • การตัดสินใจในการจัดการความเสี่ยง: Leverage Ratio ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงทางการเงิน เช่น การปรับระดับการกู้ยืมหรือการใช้หนี้สิน ในกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดเปลี่ยนแปลง
    • การเปรียบเทียบระหว่างบริษัท: อัตราส่วนการกู้ยืมช่วยในการเปรียบเทียบสภาพการเงินของบริษัทที่แตกต่างกัน ช่วยให้ผู้ลงทุนทราบถึงระดับการใช้หนี้สินและความเสี่ยงทางการเงินของแต่ละบริษัท

ข้อเสียของ Leverage Ratio

    • ไม่คำนึงถึงประเด็นอื่น: Leverage Ratio ไม่สามารถคำนึงถึงประเด็นอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อความสามารถขององค์กรหรือธนาคาร เช่น ความผันผวนในราคาหุ้น การกำไรและขาดทุนปีล่าสุด ปัจจัยเศรษฐกิจ เป็นต้น
    • ไม่ได้ประเมินค่าทรัพย์สิน: อัตราส่วนการกู้ยืมไม่คำนึงถึงค่าทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ขององค์กรที่เป็นที่ประเมินราคา ซึ่งอาจไม่แสดงถึงความสามารถในการสร้างรายได้จากสินทรัพย์นั้น
    • ไม่คำนึงถึงโครงสร้างของหนี้สิน: Leverage Ratio ไม่เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างของหนี้สิน ซึ่งอาจมีผลต่อความเสี่ยงทางการเงิน หนี้สินที่มีกำไรดอกเบี้ยสูงเป็นต้น
    • การมองเฉพาะแค่ข้อมูลปัจจุบัน: การดู Leverage Ratio เฉพาะเพียงข้อมูลปัจจุบันอาจไม่สามารถประเมินการเปลี่ยนแปลงและสภาพการเงินในอนาคตได้