Factor Endowment Theory คืออะไร มีลักษณะอย่างไร จงอธิบายยกตัวอย่าง

Factor Endowment Theory คืออะไร

Factor Endowment Theory” หรือทฤษฎีความมีทรัพยากร (Factors of Production) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายสาเหตุและผลที่เกิดขึ้นในการแบ่งและการกระจายการผลิตระหว่างประเทศที่มีความต่างกันในปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการผลิต เช่นแรงงาน ที่ดิน และทุนสินทรัพย์ (แรงงานและทุนสินทรัพย์อาจมีการกระจายที่ไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ) โดยทฤษฎีความมีทรัพยากรได้กำหนดขึ้นในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยนักเศรษฐศาสตร์สองคนคือ Eli Heckscher จากสวีเดน และBertil Ohlin จากสวีเดน ทฤษฎีนี้ยังเรียกว่า “Heckscher-Ohlin Theory” หรือ “Heckscher-Ohlin Model” ด้วย

ความสำคัญของทฤษฎีความมีทรัพยากรอยู่ในการอธิบายการเกิดและการสาธารณะในการค้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่สมัยก่อนที่การค้าระหว่างประเทศจะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก ทฤษฎีความมีทรัพยากรได้กล่าวถึงว่าประเทศที่มีปัจจัยการผลิตในปริมาณมากขึ้น ก็จะมีโอกาสสร้างและส่งออกสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตนั้นๆ มากขึ้นในขณะที่ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตน้อยลง ก็จะมีโอกาสนำเข้าสินค้าเหล่านั้นมากขึ้น เพื่อเข้าใจทฤษฎีความมีทรัพยากรมากขึ้น สำคัญที่จะทราบถึงคำจำกัดความที่สำคัญ

Factor Endowment Theory มีลักษณะอย่างไร

“Factor Endowment Theory” หรือ “Heckscher-Ohlin Theory” ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Eli Heckscher และ Bertil Ohlin ในปี ค.ศ. 1919 และ 1924 ตามลำดับ ทฤษฎีนี้สรุปว่าประเทศจะส่งออกและนำเข้าสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตที่ปรากฏในแต่ละประเทศ ลักษณะสำคัญของทฤษฎีคือ

ปัจจัยการผลิต (Factors of Production)

ปัจจัยการผลิต (Factors of Production) คือสิ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการเพื่อให้เกิดการผลิตเสร็จสมบูรณ์ ปัจจัยการผลิตประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประเภทที่มีบทบาทต่างกันในกระบวนการผลิต ปัจจัยการผลิตทั้งหมดสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่:

ปัจจัยการผลิต (Factors of Production)
ปัจจัยการผลิต (Factors of Production)
    1. แรงงาน (Labor): แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องกับความพยายามและพลังงานที่มนุษย์ใช้ในกระบวนการผลิต นี้รวมถึงค่าจ้างแรงงานที่ต้องจ่ายให้แรงงาน เช่น ค่าเงินเดือนและค่าจ้าง
    2. ทุนสินทรัพย์ (Capital): ทุนสินทรัพย์คือปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องกับครอบครองและใช้ทรัพย์สินในกระบวนการผลิต เช่น เครื่องมือและเครื่องจักร อาทิเช่น เครื่องกล, รถยนต์, คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์การผลิตอื่นๆ
    3. ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ (Land and Natural Resources): ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติคือปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่ที่ใช้ในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เช่น น้ำและอากาศ

ทั้งสามประเภทของปัจจัยการผลิตมีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ประเทศและธุรกิจจำเป็นต้องเรียกใช้แรงงาน ทุนสินทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติให้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างผลผลิตที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและตลาด

The Principle of Comparative Advantage

The Principle of Comparative Advantage, หรือ “หลักแห่งความได้เปรียบ,” เป็นหลักที่สำคัญในเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายว่า แม้แต่ถ้าประเทศไม่มีความเก่งเลิศในการผลิตสินค้าทุกชนิด การค้าระหว่างประเทศก็ยังสามารถสร้างประโยชน์ได้ ด้วยเงื่อนไขที่ประเทศจะผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความเปรียบเทียบได้ดีกว่าในสามารถเทียบได้กับประเทศอื่นๆ แม้ว่าประเทศนั้นจะมีความเก่งเลิศในการผลิตสินค้าทุกชนิดก็ตามหลักแห่งความได้เปรียบเป็นพื้นฐานของการค้าระหว่างประเทศและการกระจายงานการผลิต โดยแนวคิดหลักคือการเลือกผลิตสินค้าที่มีค่าผลผลิตต่ำสุดและเทียบเท่าสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตของประเทศอื่น ๆ

ตัวอย่างการใช้หลักแห่งความได้เปรียบ

คิดว่ามีประเทศสองประเทศ ประเทศ A และประเทศ B ประเทศ A มีความสามารถในการผลิตทั้งผลิตภัณฑ์ X และผลิตภัณฑ์ Y แต่มีค่าต้นทุนสูงกว่าประเทศ B ในการผลิตทั้งสองผลิตภัณฑ์ ในที่นี้ ประเทศ A มีความเปรียบเทียบในการผลิตทั้งสองชนิดของผลิตภัณฑ์มากกว่าประเทศ B

ถ้าประเทศ A มีความเปรียบเทียบในการผลิตผลิตภัณฑ์ X มากกว่าประเทศ B และประเทศ B มีความเปรียบเทียบในการผลิตผลิตภัณฑ์ Y มากกว่าประเทศ A นั่นคือ ประเทศ A มี Comparative Advantage ในการผลิตผลิตภัณฑ์ X และประเทศ B มี Comparative Advantage ในการผลิตผลิตภัณฑ์ Y

ดังนั้น หากประเทศ A ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ X ไปยังประเทศ B และประเทศ B ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ Y ไปยังประเทศ A จะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถนำเข้าและบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีความเปรียบเทียบได้ดีกว่าจากประเทศอื่น ๆ ที่มีความเก่งเลิศในการผลิตทั้งสองชนิดของผลิตภัณฑ์

การค้าระหว่างประเทศ

การค้าระหว่างประเทศเป็นกระบวนการที่ประเทศต่างๆ ซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างกันเพื่อรับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย การค้าระหว่างประเทศมีหลายแง่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก นี่คือบางแง่ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ:

    1. ประเภทของการค้าระหว่างประเทศ:
      ประเภทของการค้าระหว่างประเทศ
      ประเภทของการค้าระหว่างประเทศ
      • การค้าสินค้า: การซื้อขายสินค้าต่างๆ ระหว่างประเทศ เช่น สินค้าเกษตรกรรม, ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
      • การค้าบริการ: การซื้อขายบริการต่างๆ ระหว่างประเทศ เช่น การท่องเที่ยว, การศึกษา, บริการทางการเงิน, บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
    2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ:
      • ปัจจัยการผลิต: ปัจจัยเหล่านี้เป็นสำคัญในการกำหนดว่าประเทศจะผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการอะไร ตัวอย่างเช่น ปริมาณแรงงาน, ความสามารถในการผลิตสินค้า, ทุนทรัพย์, และเทคโนโลยี
      • ต้นทุนการผลิต: ระดับต้นทุนในประเทศสามารถส่งผลต่อการแข่งขันในการส่งออกสินค้า ประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำอาจมีประโยชน์ในการส่งออกสินค้าที่มีต้นทุนต่ำ
      • แต่ละประเทศโดยเฉพาะ: สภาวะเศรษฐกิจและการกำหนดนโยบายต่างๆ ในแต่ละประเทศสามารถมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ เช่น นโยบายทางการค้า, อุตสาหกรรมเป้าหมาย, การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน
    3. ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ:
      • การใช้ประโยชน์จากประเทศมีความเปรียบ: ตามหลัก Comparative Advantage ประเทศสามารถผลิตและส่งออกสินค้าที่มีประโยชน์สูงมากกว่าและนำเข้าสินค้าที่ประโยชน์ต่ำกว่า
      • การขยายตลาด: การค้าระหว่างประเทศเปิดโอกาสให้ธุรกิจขยายตลาดสู่ระดับนานาประเทศ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเพิ่มรายได้
      • ความหลากหลายของสินค้า: การค้าระหว่างประเทศช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการในตลาดในประเทศ
    4. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ:
      • การเพิ่มรายได้และงานจ้างงาน: การค้าระหว่างประเทศสามารถส่งผลให้ประเทศเพิ่มรายได้และสร้างงานจ้างงานเมื่อมีการเพิ่มการผลิตและการส่งออก
      • การเกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรม: การเปิดตลาดระหว่างประเทศส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างประเทศ
      • ความเสี่ยง: การค้าระหว่างประเทศอาจสร้างความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าหรือการสุ่มเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ

ประเภทของสินค้า

ทฤษฎี Factor Endowment Theory  ประเภทของสินค้าส่งผลต่อการแบ่งและการกระจายการผลิตระหว่างประเทศ โดยแต่ละประเทศจะมีความสามารถในการผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีปริมาณมากกว่า ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระจายการผลิตที่แตกต่างกันระหว่างประเทศ ตัวอย่างของประเภทของสินค้าที่ได้รับการพูดถึงในทฤษฎีความมีทรัพยากรได้แก่:

    • สินค้าแรงงาน-น้ำมัน: ประเทศที่มีแรงงานมากจะมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมากกว่า เช่น การผลิตเสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีปริมาณน้ำมันมากจะมีความสามารถในการผลิตน้ำมัน สำหรับยานพาหนะและอุปกรณ์ต่างๆ
    • สินค้าทุนสินทรัพย์-เทคโนโลยี: ประเทศที่มีปริมาณทุนสินทรัพย์มากจะมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้ทุนสินทรัพย์มาก อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีเทคโนโลยีและการวิจัยมากจะมีความสามารถในการสร้างเทคโนโลยีและผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
    • สินค้าที่ดิน-อาหาร: ประเทศที่มีปริมาณที่ดินอุดมสมบูรณ์มากจะมีความสามารถในการผลิตพืชและอาหาร อย่างเช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ เป็นต้น
    • สินค้ารวม (Intermediate Goods): บางครั้งสินค้าที่ผลิตจะเป็นสินค้ารวมที่ใช้ในกระบวนการผลิตของสินค้าอื่น ๆ ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตสินค้ารวมจะส่งออกสินค้านี้ไปยังประเทศอื่นเพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป

การแก้ไขผลกระทบ

การแก้ไขผลกระทบในแง่ของทฤษฎีความมีทรัพยากร (Factor Endowment Theory) เป็นการพยายามคาดเดาและอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยการผลิตในประเทศจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการค้าระหว่างประเทศและรูปแบบการผลิต นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทฤษฎีความมีทรัพยากรยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างครอบคลุม แต่มีการพยายามแก้ไขด้วยหลายแนวทาง ดังนี้:

การแก้ไขผลกระทบในแง่ของทฤษฎีความมีทรัพยากร
การแก้ไขผลกระทบในแง่ของทฤษฎีความมีทรัพยากร
    • Stolper-Samuelson Theorem: แนวคิดนี้อ้างถึงว่าการเปลี่ยนแปลงในราคาของปัจจัยการผลิต (เช่น การเพิ่มค่าแรงงาน) ในประเทศจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงราคาของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปัจจัยการผลิตนั้น ๆ ดังนั้น ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตที่มีอยู่มากจะเพิ่มราคาของสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตนั้น (ผลส่วนต่าง) และลดราคาของสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตน้อย ๆ (ผลส่วนเท่า)
    • Factor Price Equalization Theorem: แนวคิดนี้คาดหวังว่าเมื่อปริมาณปัจจัยการผลิตในประเทศหนึ่งเปลี่ยนแปลง เช่น การเพิ่มแรงงาน ราคาของปัจจัยการผลิตเหล่านั้นในประเทศนั้นจะเปลี่ยนแปลง และสุดท้ายจะเป็นเท่ากันกับราคาของปัจจัยการผลิตในประเทศอื่น ๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงปัจจจัยการผลิต
    • Leontief Paradox: กึ่งพาราด็อกซ์นี้พบว่าในปี ค.ศ. 1950 การคำนวณในสถานภาพของสหรัฐอเมริกาพบว่าประเทศนี้ส่งออกแรงงานมากกว่าส่งออกทุน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ขัดกับทฤษฎีความมีทรัพยากรที่คาดหวังไว้

ตัวอย่าง Factor Endowment Theory

สมมติให้มีประเทศ A และประเทศ B โดยมีปัจจัยการผลิตสองประเภทคือแรงงาน (L) และทุนสินทรัพย์ (K) โดยประเทศ A มีปัจจัยการผลิตแรงงานมากกว่าประเทศ B แต่ประเทศ B มีปัจจัยการผลิตทุนสินทรัพย์มากกว่าประเทศ A

  • ประเทศ A: แรงงาน (L_A) มาก, ทุนสินทรัพย์ (K_A) น้อย
  • ประเทศ B: แรงงาน (L_B) น้อย, ทุนสินทรัพย์ (K_B) มาก

ตามทฤษฎีความมีทรัพยากร:

  1. สินค้าที่ใช้แรงงานมาก (L-intensive product): ประเทศ A จะมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตแรงงานมากกว่า ดังนั้น ประเทศ A จะส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เช่น ผลิตภัณฑ์ทางสิ่งแวดล้อม
  2. สินค้าที่ใช้ทุนสินทรัพย์มาก (K-intensive product): ประเทศ B จะมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตทุนสินทรัพย์มากกว่า ดังนั้น ประเทศ B จะส่งออกสินค้าที่ใช้ทุนสินทรัพย์มาก เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิต:

  • หากประเทศ A เพิ่มปริมาณแรงงาน (L_A) จะเกิดการเพิ่มการผลิตของสินค้าที่ใช้แรงงานมาก (L-intensive product) และราคาของสินค้าเหล่านี้ในประเทศ A อาจลดลง
  • หากประเทศ B เพิ่มปริมาณทุนสินทรัพย์ (K_B) จะเกิดการเพิ่มการผลิตของสินค้าที่ใช้ทุนสินทรัพย์มาก (K-intensive product) และราคาของสินค้าเหล่านี้ในประเทศ B อาจลดลง

การวิเคราะห์ Factor Endowment Theory

การวิเคราะห์ Factor Endowment Theory นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้ในการศึกษาและเข้าใจวิธีที่ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ มีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ และการกระจายการผลิตระหว่างประเทศ นี่คือขั้นตอนที่สำคัญในการวิเคราะห์ทฤษฎีนี้:

การวิเคราะห์ Factor Endowment Theory
การวิเคราะห์ Factor Endowment Theory
  1. กำหนดปัจจัยการผลิต: ระบุปัจจัยการผลิตที่สำคัญตามทฤษฎีความมีทรัพยากร คือแรงงานและทุนสินทรัพย์ ระบุปริมาณและคุณสมบัติของแต่ละปัจจัยการผลิตในแต่ละประเทศ เช่น ประเทศ A มีแรงงานมากและทุนสินทรัพย์น้อย เป็นต้น
  2. พิจารณาสินค้าที่ผลิต: พิจารณาสินค้าหรือบริการที่มีในแต่ละประเทศ และพยายามระบุว่าประเทศใดมีความสามารถในการผลิตแต่ละสินค้าด้วยปัจจัยการผลิตของตน เช่น สินค้าที่ใช้แรงงานมาก (L-intensive product) และสินค้าที่ใช้ทุนสินทรัพย์มาก (K-intensive product)
  3. คำนวณ Comparative Advantage: ใช้หลักแห่งความได้เปรียบ (Comparative Advantage) ในการกำหนดประเทศที่มีความเหมาะสมในการผลิตแต่ละสินค้า โดยเปรียบเทียบอัตราการผลิตระหว่างประเทศ หรือผลผลิตที่สามารถผลิตได้ต่อหน่วยปริมาณปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้น ๆ
  4. การค้าระหว่างประเทศ: วิเคราะห์ผลกระทบของความเหมาะสมในการผลิตแต่ละประเทศต่อการค้าระหว่างประเทศ ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าใด ๆ จะมีแนวโน้มส่งออกสินค้านั้น ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมในการผลิตสินค้าอื่น ๆ จะมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าเหล่านั้น
  5. การปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิต: พิจารณาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตในประเทศ โดยวิเคราะห์ว่าการเพิ่มหรือลดปริมาณแรงงานหรือทุนสินทรัพย์จะส่งผลอย่างไรต่อการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ
  6. การวิเคราะห์กรณีพิเศษ: วิเคราะห์ความซับซ้อนของสภาพการเปลี่ยนแปลง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อทฤษฎีความมีทรัพยากร เช่น การเปลี่ยนแปลงในความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี และอื่น ๆ