Downgrade Risk คืออะไร
Downgrade Risk หมายถึง ความเสี่ยงที่สินทรัพย์หรือหนี้สินที่ได้รับการจัดอันดับเป็นเกรดสูงสุดหรือความน่าเชื่อถือสูงจากหน่วยงานอิสระหรือสำนักงานอนุรักษ์เครดิต อาจถูกลดอันดับลงเป็นเกรดต่ำกว่านั้นในอนาคต เช่น สินทรัพย์หรือหนี้สินที่มีเกรดเครดิต AAA อาจถูกลดลงเป็น AA+ หรือ AA ซึ่งเป็นเกรดต่ำกว่า เรื่องนี้ส่งผลให้เงินกู้หรือการลงทุนในสินทรัพย์หรือหนี้สินนั้นมีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อผู้ถือหนี้หรือนักลงทุนอย่างไม่คาดฝันได้ เนื่องจากความน่าเชื่อถือลดลงอาจส่งผลให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือมูลค่าสินทรัพย์ลดลงในอนาคต
การประเมินและการจัดอันดับเครดิตส่วนใหญ่จะพิจารณาตัวแปรต่างๆ เช่น ความสามารถในการชำระหนี้ โครงสร้างการเงิน และสภาพเศรษฐกิจทั่วไปเพื่อที่จะให้คะแนนและอันดับสินทรัพย์หรือหนี้สินตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เมื่อมีการลดเกรดเครดิตของสินทรัพย์หรือหนี้สินนั้น ผู้ถือหนี้หรือนักลงทุนอาจต้องเผื่อมีความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ด้วยการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างเหมาะสม เช่น เพิ่มงบประมาณสำรองเงินทุนสำหรับการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น หรือการตัดทอนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
Downgrade Risk มีอะไรบ้าง
Downgrade Risk หรือ ความเสี่ยงที่ถูกลดอันดับเป็นเกรดต่ำกว่าที่เคยได้รับนั้นสามารถเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยต่างๆ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์หรือหนี้สิน บางตัวอย่างได้แก่:
ความไม่สามารถชำระหนี้ (Default Risk)
ความไม่สามารถชำระหนี้ (Default Risk) หมายถึง ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความไม่สามารถชำระหนี้หรือชำระคืนเงินกู้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาการกู้ยืมหรือหนี้สินในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าเกิดความไม่สามารถชำระหนี้ (Default) หรือการละเมิดสัญญาชำระหนี้ ความไม่สามารถชำระหนี้สามารถเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น
-
- ปัญหาการเงินของผู้กู้หรือผู้ค้ำประกัน: สภาวะการเงินที่ไม่เหมาะสมหรือปัญหาในการจัดการทางการเงินของผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันอาจทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเวลา
- สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี: สภาวะเศรษฐกิจที่ลดลงหรือเกิดการขาดแคลนทางเงินทุนในตลาดอาจทำให้ผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันไม่สามารถจ่ายหนี้ตามเวลา
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน: การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินของบริษัทหรือหน่วยงานอาจส่งผลให้ไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขได้
- การลดความน่าเชื่อถือของเจ้าของหนี้: การเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการหรือความน่าเชื่อถือของผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันอาจส่งผลให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข
- การตลาดทางการเงินที่ไม่แน่นอน: สภาวะความผันผวนในตลาดทางการเงินอาจทำให้ตัวแปรต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย กำลังซื้อขายของตลาดทางการเงิน เปลี่ยนแปลง และส่งผลให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน (Financial Structure Changes)
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน (Financial Structure Changes) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทหรือองค์กร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการจัดทางการเงินและความเสี่ยงทางการเงินขององค์กร อาจทำให้เกิด Downgrade Risk นี่คือบางตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน:
-
- การกู้ยืมและการผ่อนชำระหนี้สิน (Debt Structure Changes): การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างหนี้สินโดยเพิ่มหรือลดปริมาณการกู้ยืม หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้สินอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงทางการเงินที่แตกต่างไป
- การอ้างอิงอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Structure Changes): การเปลี่ยนแปลงในการอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยสำหรับหนี้สินหรือสัญญากู้ยืมอาจส่งผลให้มีความผันผวนในค่าดอกเบี้ยและความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทุน (Capital Structure Changes): การปรับปรุงโครงสร้างทุนโดยการเพิ่มหรือลดทุนทางเงินทุนหรือหนี้สิน อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงทางการเงิน
- การออกหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ (Equity or Securities Issuance): การออกหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อระดับทุนทางการเงินสามารถส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินและอัตราผลตอบแทน
- การรวมกิจการหรือการแยกกิจการ (Mergers and Acquisitions or Spin-offs): การรวมกิจการหรือการแยกกิจการอาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินและความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทหรือองค์กร
- การจัดทางการเงิน (Financial Reorganization): การปรับปรุงโครงสร้างการเงินเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินหรือเพิ่มความน่าเชื่อถือ อาจรวมถึงการลดหนี้สินหรือการเพิ่มทุนทางเงินทุน
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเงินสด (Cash Flow Structure Changes): การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเงินสดจากกิจกรรมทางการเงินต่างๆ อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในความสามารถในการชำระหนี้และการจัดการเงินสด
การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือกฎระเบียบ (Regulatory Changes)
การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือกฎระเบียบ (Regulatory Changes) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจและการดำเนินการขององค์กร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับเครดิตของบริษัทหรือหนี้สิน นี่คือตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือกฎระเบียบ:
-
- การเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมายการเงิน (Tightened Financial Regulations): การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายทางการเงินที่กำหนดให้บริษัทปฏิบัติตามมาตรฐานเงินทุนหรือกฎระเบียบการบริหารเงินทุนที่เข้มงวดขึ้นอาจส่งผลให้บริษัทต้องปรับปรุงโครงสร้างการเงิน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความลำบากในการจัดหาเงินทุนและส่งผลให้เกิด Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายด้านการสิ้นสุดสัญญา (Changes in Contract Termination Laws): การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดสัญญาหรือการต่ออายุสัญญาอาจส่งผลให้ผู้ค้าหรือบริษัทต้องปรับปรุงกฎเกณฑ์การเลือกคัดลงทุนหรือทำธุรกรรมทางธุรกิจ และเกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิด Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายสิทธิบัตร (Changes in Patent Laws): การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรหรือสิทธิบัตรประเภทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทอาจมีผลกระทบต่อรายได้หรือความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิด Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายสิ่งแวดล้อม (Changes in Environmental Laws): การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลให้บริษัทต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือใช้ทรัพยากรเพื่อประหยัดพลังงานหรือลดการก่อให้เกิดสิ่งสำคัญ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งอาจส่งผลให้มีความต้องการเงินลงทุนเพิ่มขึ้นและเกิดความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลให้เกิด Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายเศรษฐกิจ (Economic Regulation Changes): การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอาจส่งผลให้มีการจำกัดการดำเนินธุรกิจหรือกำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและ Downgrade Risk
ความผันผวนในตลาดทางการเงิน (Market Volatility)
ความผันผวนในตลาดทางการเงิน (Market Volatility) หมายถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับราคาหรือมูลค่าของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์บนตลาดทางการเงินที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งและอย่างรวดเร็ว ความผันผวนนี้อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยหลากหลายที่มีผลต่อตลาด เช่น ข่าวสารเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล สภาวะการเงินของบริษัท และปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาดทางการเงินอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในการอันดับเครดิตและ Downgrade Risk สำหรับสินทรัพย์หรือหนี้สินที่มีการคาดคะเนการเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ต้องพิจารณาและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนในตลาดทางการเงินให้ดี เช่น การกระจายลงทุน (Diversification) ในหลายสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ เพื่อลดความผันผวนในการลงทุน
สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี (Economic Downturn)
สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีหรือ Economic Downturn หมายถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศหรือภูมิภาคกลับมาถดถอยหรือลดลงในระดับการเติบโตหรือผลผลิตทั่วไป สภาวะนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อมีการลดลงของอัตราการเติบโตของพหุประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดความสกปรกและการลดลงในกิจกรรมเศรษฐกิจในหลายๆ ด้าน นี่คือบางข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี:
-
- ลดลงของอัตราการเติบโต: สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีจะมีการลดลงของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมตลอดเวลา ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น การลดลงของการลงทุน การลดการส่งออก หรือปัญหาเศรษฐกิจโลก
- การลดงานและการตัดสินใจในการจ้างงาน: บริษัทอาจต้องลดงานหรือไม่จ้างงานใหม่ในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่ดีเพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับการลดลงของกิจกรรมเศรษฐกิจ
- การลดการบริโภคและการลงทุนของบุคคล: ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี บุคคลอาจจะลดการใช้จ่ายและการลงทุนเนื่องจากความไม่แน่นอนในอนาคต
- การเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงิน: สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีอาจส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากขึ้น โดยอาจมีการลดลงของราคาหุ้น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และการผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
- การลดการสนับสนุนธุรกิจและการเพิกถอนการลงทุน: รัฐบาลและองค์กรอื่นๆ อาจต้องลดการสนับสนุนธุรกิจและโครงการต่างๆ รวมถึงการเพิกถอนการลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ (Industry or Business Structure Changes)
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือหน่วยงานได้ นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลให้เกิด Downgrade Risk:
-
- การขยายหรือยุบธุรกิจ: การเปลี่ยนแปลงขนาดหรือขอบเขตของธุรกิจ โดยการขยายหรือยุบลงสามารถส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน ทรัพยากรที่ใช้ในธุรกิจ และความไม่แน่นอนในผลการดำเนินธุรกิจ ซึ่งอาจเพิ่ม Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในแนวทางกลยุทธ์ธุรกิจ: การเปลี่ยนแปลงแนวทางกลยุทธ์การตลาด การผลิต หรือการขายสามารถส่งผลให้มีความไม่แน่นอนในผลการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้เกิด Downgrade Risk
- การเข้าสู่ตลาดใหม่หรืออุตสาหกรรมใหม่: การขยายกิจการเข้าสู่ตลาดหรืออุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อนอาจสร้างความเสี่ยงเนื่องจากความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจในสถานการณ์ใหม่ ซึ่งอาจเพิ่ม Downgrade Risk
- การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือวัฒนธรรมองค์กรอาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการบริหารจัดการหรือสภาพความพร้อมขององค์กร ทำให้เกิด Downgrade Risk
- การเปลี่ยนแปลงในบรรดาศักยภาพคู่แข่ง: การเปลี่ยนแปลงในสภาพคู่แข่งในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอาจส่งผลให้มีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินธุรกิจและความเสี่ยงทางการเงิน
- การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเจ้าของหรือผู้ควบคุม: การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเจ้าของหรือผู้ควบคุมบริษัทหรือหน่วยงานอาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายหรือกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนและ Downgrade Risk
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างบุคคลในองค์กร (Organizational Changes)
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างบุคคลในองค์กรเป็นปัจจัยที่เสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยง Downgrade Risk หรือการถูกลดอันดับเครดิตหรือความน่าเชื่อถือทางการเงินขององค์กร ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้รวมถึงการเปลี่ยนผู้บริหารสำคัญ เปลี่ยนแปลงในโครงสร้างองค์กร การรวมกิจการหรือแบ่งกิจการ การเปลี่ยนแปลงเจ้าของหรือผู้ควบคุม และการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมองค์กร เหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อกระบวนการบริหารจัดการ สภาพเศรษฐกิจ และสภาพการเงินขององค์กร การวิเคราะห์และติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการบริหารความเสี่ยงและการจัดการสภาวะการเงินในองค์กรและสินทรัพย์หรือหนี้สินที่เกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่าง Downgrade Risk
ตัวอย่าง 1: บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อโควิด-19
สมมติว่ามีบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กำไรประจำปีลดลงอย่างมาก เมื่อบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดได้ในระยะเวลาที่กำหนด หรือมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินเพื่อจัดการกับสภาวะทางการเงิน เช่น ออกหุ้นหรือหลักทรัพย์เพิ่มเติม เป็นต้น ผลกระทบเหล่านี้อาจทำให้เกิด Downgrade Risk สำหรับเอกสารหนี้ของบริษัทนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต
ตัวอย่าง 2: การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน
หากบริษัทกำลังจะออกกู้เพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มทุนหรือทำสัญญาการเงิน แต่เพื่อที่จะทำได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินของบริษัท เช่น เพิ่มหุ้นจากการเจรจากับนักลงทุนหรือออกเป็นหลักทรัพย์ การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินอาจทำให้มี Downgrade Risk เนื่องจากมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการชำระหนี้ในอนาคต
ตัวอย่าง 3: สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
การตกต่ำของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอาจส่งผลให้บริษัทหรือผู้กู้ไม่สามารถจ่ายหนี้ตามกำหนด ตลาดงานที่ลดลงอาจทำให้เกิดความผันผวนในรายได้และกำไรของผู้กู้ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลให้เกิด Downgrade Risk
ตัวอย่าง 4: ความไม่แน่นอนในโครงสร้างผู้ค้ำประกัน
ถ้ามีบุคคลหรือองค์กรที่เป็นผู้ค้ำประกันหรือให้ความสนับสนุนในการกู้ยืม แต่มีสภาวะการเงินที่ไม่แน่นอนหรือเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลง การไม่สามารถสนับสนุนในการชำระหนี้ได้ทำให้เกิด Downgrade Risk สำหรับหนี้สินที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่าง 5: การคาดการณ์ราคาที่ไม่ถูกต้อง
ถ้ามีการคาดการณ์ราคาทรัพย์สินหรือตลาดที่ไม่ถูกต้อง เช่น ราคาทรัพย์สินที่โดยเฉลี่ยสูงกว่าความเป็นจริง หรือราคาทรัพย์สินที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อาจส่งผลให้มีความผันผวนในมูลค่าทรัพย์สิน และเป็นเหตุให้เกิด Downgrade Risk สำหรับการระดับความเสี่ยงของสินทรัพย์
ตัวอย่าง 7: การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือกฎระเบียบ
การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือสภาวะการเงิน อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจหรือโครงสร้างการเงิน เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราภาษีหรือการจำกัดกิจกรรมการทำธุรกรรมบางประเภท อาจส่งผลให้เกิด Downgrade Risk