Default Risk Premium คืออะไร
Default Risk Premium หมายถึง ผลต่างของอัตราผลตอบแทนที่ลงทุนต้องการรับเมื่อลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้หรือผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาที่กำหนดไว้ เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “รายได้จากความเสี่ยง” (risk premium) ซึ่งเป็นเงินที่ลงทุนต้องรับเพิ่มเติมเพื่อความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการไม่สามารถชำระหนี้หรือผ่อนชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญา การวิเคราะห์ Default Risk Premium ช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้และการคาดคะเนผลตอบแทนที่ควรจะได้รับเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้ในการลงทุนดังกล่าว
กรณีของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ (default) เช่น พันธบัตรหรือพันธบัตรรัฐบาลที่มีโอกาสไม่ชำระเงินตามกำหนด ผู้ลงทุนจะต้องการรับรายได้ที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้ ดังนั้น อัตราผลตอบแทนที่เสนอให้กับผู้ลงทุนจะสูงขึ้น ผลมาจากส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นหากไม่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ สำหรับการวิเคราะห์ Default Risk Premium ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ของผู้กู้หรือ Asset ในบัญชีและเปรียบเทียบกับหลักทรัพย์หรือ Asset ที่ไม่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้เพื่อประมาณค่า Default Risk Premium ที่ต้องเสนอให้กับผู้ลงทุนเพื่อดึงดูดให้ลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ
วิธีคำนวณ Default Risk Premium
การคำนวณ Default Risk Premium อาจมีหลายวิธีแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของสินทรัพย์และตลาดที่เกี่ยวข้อง แต่ละวิธีก็จะใช้ข้อมูลเบื้องต้นเหมือนกันคืออัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (risk-free rate) และอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์ ดังนั้นวิธีหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ:
Yield Spread Approach
Yield Spread Approach หรือวิธีการวัดผลตอบแทนจากผลตอบแทนเพิ่มเติม เราจะใช้ผลตอบแทนจริงของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ (เช่น พันธบัตรหรือพันธบัตรบริษัท) ลบอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรืออัตราดอกเบี้ยตราสารที่ถือว่าปลอดภัย) เพื่อหาค่า Default Risk Premium ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนจริงและอัตราผลตอบแทนที่ควรจะได้รับหากไม่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ โดยสมการสำหรับการคำนวณ Default Risk Premium ด้วย Yield Spread Approach สามารถเขียนได้ดังนี้
-
- Yield of Risky Asset คือผลตอบแทนจริงที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ เช่น อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรหรือหุ้นของบริษัทที่มีระดับความเสี่ยงต่ำขึ้น
- Risk-Free Yield คืออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ถือว่าปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ เช่น อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลหรือสัญญาซื้อขายตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ
การคำนวณ Default Risk Premium ผู้วิเคราะห์จะใช้ข้อมูลของส่วนประกอบทั้งสองในสมการ เพื่อหาผลต่างระหว่างผลตอบแทนจริงและผลตอบแทนที่ควรจะได้รับจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ นั่นคือ Default Risk Premium ที่ผู้ลงทุนต้องการรับเพื่อรับความเสี่ยงนี้
Credit Rating Approach
วิธีการวิเคราะห์ Default Risk Premium โดยใช้เครดิตเรตติ้ง (Credit Rating Approach) เป็นการพิจารณาเครดิตเรตติ้งของสินทรัพย์หรืออาเซทเพื่อประมาณค่าความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้และคำนวณ Default Risk Premium ขึ้นมาจากความต่างของเครดิตเรตติ้งระหว่างสินทรัพย์หรืออาเซทที่มีความเสี่ยงต่ำกับสินทรัพย์หรืออาเซทที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ขั้นตอนการใช้ Credit Rating Approach เพื่อคำนวณ Default Risk Premium ได้แก่
-
- เลือกเครดิตเรตติ้งเปรียบเทียบ: เลือกเครดิตเรตติ้งที่เป็นที่รู้จักและมีประสิทธิภาพในการบ่งบอกความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ของสินทรัพย์หรืออาเซทที่สนใจ
- ประมาณค่าอัตราผลตอบแทน: ประมาณค่าอัตราผลตอบแทนที่ควรจะได้รับจากสินทรัพย์หรืออาเซทที่มีเครดิตเรตติ้งที่เลือก โดยใช้อัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (risk-free rate) เป็นฐาน
- คำนวณ Default Risk Premium: คำนวณผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากสินทรัพย์หรืออาเซทที่เลือกและอัตราผลตอบแทนที่ควรจะได้รับจากสินทรัพย์หรืออาเซทที่มีเครดิตเรตติ้งที่ดูเหมือนว่ามีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ต่ำลง (เครดิตเรตติ้งสูง) โดยนำค่านี้ออกมาเป็น Default Risk Premium
- อัพเดตและประเมิน: เนื่องจากเครดิตเรตติ้งและความเสี่ยงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การประเมินและอัพเดต Default Risk Premium ต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในเครดิตเรตติ้งและสภาวะเศรษฐกิจ
เครดิตเรตติ้งจะถูกกำหนดโดยหน่วยงานที่เรียกว่า บริษัทเรตติ้ง (credit rating agencies) ซึ่งจะประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์หรืออาเซทและให้เรตติ้งในรูปของเลขหรือสัญลักษณ์ เช่น AAA, AA, A, BBB, BB, B, CCC ซึ่งสัญลักษณ์ตัวแรกคือเรตติ้งที่ดีที่สุดและเรตติ้งจะลดลงเมื่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การวิเคราะห์ Default Risk Premium ด้วยวิธีนี้จะเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในเครดิตเรตติ้งและความต่างของเครดิตเรตติ้งระหว่างสินทรัพย์หรืออาเซทที่สนใจกับสินทรัพย์หรืออาเซทที่มีความเสี่ยงต่ำกว่านั้น
Market Spread Approach
วิธีการวิเคราะห์ Default Risk Premium ด้วย Market Spread Approach เน้นการใช้ข้อมูลจากตลาดเงินทุนและตลาดสินทรัพย์เพื่อประเมินผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการรับเพื่อรับความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ วิธีนี้คำนวณโดยดูที่เครดิตสเปรด (credit spreads) ที่เกิดขึ้นระหว่างอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้กับอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (risk-free rate) ที่มาจากสินทรัพย์ที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำสูงสุด เช่น สินทรัพย์รัฐบาลที่ถือว่าเป็นค่าเสี่ยงรายได้น้อยที่สุด (risk-free asset) ในระยะเวลาเดียวกัน
วิธีการ Market Spread Approach เป็นวิธีที่ใช้ตัวชี้วัดเครดิตสเปรด (credit spreads) เพื่อประมาณค่า Default Risk Premium ของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ ความสำคัญของวิธีนี้คือการวิเคราะห์ผ่านข้อมูลจากตลาดที่แสดงความคาดหวังของผู้ลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ของสินทรัพย์นั้นๆ วิธีการดังกล่าวมีขั้นตอนดังนี้:
-
- เลือกสินทรัพย์ตัวอย่าง: ตัวอย่างสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ เช่น พันธบัตรหรือหลักทรัพย์บางประเภท
- วัดเครดิตสเปรด: วัดผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้นๆ โดยหักอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (risk-free rate) ออกไป เป็นผลตอบแทนที่เพิ่มเติมที่ผู้ลงทุนต้องการรับเมื่อลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าว
- คำนวณเครดิตสเปรด: วัดผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้นๆ และหักดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง จากนั้นนำผลตอบแทนเพิ่มเติมนี้มาลบกับผลตอบแทนจริงที่ได้รับจากสินทรัพย์
- วิเคราะห์ผลตอบแทนเพิ่มเติม: เปรียบเทียบผลตอบแทนเพิ่มเติม (credit spread) ของสินทรัพย์ตัวอย่างกับสินทรัพย์ไม่มีความเสี่ยงที่มีระยะเวลาคล้ายกัน เช่น พันธบัตรรัฐบาล จากนั้นนำผลต่างระหว่างสองค่ามาทำการประมาณค่า Default Risk Premium
สูตรการคำนวณ Default Risk Premium เบื้องต้น
การคำนวณ Default Risk Premium สามารถทำได้โดยใช้สูตรเบื้องต้นที่ประมาณค่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการรับเมื่อลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ โดยการคำนวณ Default Risk Premium (DRP) อาจแตกต่างกันไปตามแนวความคิดและวิธีการที่ใช้ อย่างไรก็ตาม มีสองสูตรที่คุ้นเคยที่ผู้คนใช้ในการคำนวณ DRP ทั่วไปดังนี้:
- DRP = อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บโดยผู้ให้กู้ (Lender’s Interest Rate) – อัตราดอกเบี้ยปลอดภัย (Risk-Free Rate of Interest)
ในสูตรนี้ DRP ถูกนิยามว่าเป็นผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บโดยผู้ให้กู้และอัตราดอกเบี้ยปลอดภัย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยปลอดภัยคืออัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับการไม่ชำระหนี้ เช่น อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลที่ถือว่าปลอดภัยมากที่สุด การคำนวณนี้ใช้ในการวัดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการไม่ชำระหนี้ในสินทรัพย์หรือหนี้ต่างๆ
สมมติว่าคุณกำลังพิจารณาการลงทุนในพันธบัตรระหว่างรัฐบาลและสามารถระบุอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บโดยผู้ให้กู้และอัตราดอกเบี้ยปลอดภัยได้ ดังนี้:
-
- อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บโดยผู้ให้กู้ (Lender’s Interest Rate): 5.5%
- อัตราดอกเบี้ยปลอดภัย (Risk-Free Rate of Interest): 2.0%
คุณสามารถคำนวณ Default Risk Premium ได้ตามสูตรดังนี้:
DRP = Lender’s Interest Rate – Risk-Free Rate of Interest
DRP = 5.5% – 2.0% DRP = 3.5%
ดังนั้น ในกรณีนี้ Default Risk Premium ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลคือ 3.5% ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บโดยผู้ให้กู้และอัตราดอกเบี้ยปลอดภัยที่ถือว่าไม่มีความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้.
- DRP = ค่าดอกเบี้ยทั้งหมดที่เรียกเก็บ (Total Interest Charged) – ส่วนประกอบอื่นของดอกเบี้ย (Other Component Of Interest)
สูตรนี้นิยาม DRP ว่าเป็นผลต่างระหว่างค่าดอกเบี้ยทั้งหมดที่เรียกเก็บจากผู้กู้กับส่วนประกอบอื่นของดอกเบี้ยที่ไม่ใช่ความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ เช่น ค่าค่าบริการหรือค่าปรับต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้สมมติว่าคุณพิจารณาการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท XYZ และค่าดอกเบี้ยทั้งหมดที่เรียกเก็บจากผู้กู้ในหลักทรัพย์นี้คือ 8.5% โดยไปรวมถึงอัตราดอกเบี้ยและค่าปรับอื่น ๆ ตลอดจนถึงส่วนประกอบของดอกเบี้ยที่ไม่ใช่ความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้:
-
- ค่าดอกเบี้ยทั้งหมดที่เรียกเก็บ (Total Interest Charged): 8.5%
- ส่วนประกอบอื่นของดอกเบี้ย (Other Component Of Interest): 2.0%
คุณสามารถคำนวณ Default Risk Premium ได้ตามสูตรดังนี้:
DRP = Total Interest Charged – Other Component Of Interest
DRP = 8.5% – 2.0% DRP = 6.5%
ดังนั้นในกรณีนี้ Default Risk Premium ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท XYZ คือ 6.5% ซึ่งแสดงถึงค่าส่วนเพิ่มเติมของดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้.
ยกตัวอย่าง Default Risk Premium
ตัวอย่างที่ 1
คุณต้องการลงทุนในพันธบัตรบริษัท XYZ ที่มีมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ และมีระยะเวลาคงค้าง 5 ปี อัตราผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจากพันธบัตรเป็น 7% ต่อปี ในเวลาเดียวกัน พันธบัตรรัฐบาลมีระยะเวลาคงค้าง 5 ปีและมีอัตราผลตอบแทนเท่ากับ 4% ต่อปี การคำนวณ Default Risk Premium โดยใช้ Market Spread Approach:
-
- คำนวณเครดิตสเปรด (Credit Spread): ค่าเครดิตสเปรดคือผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในพันธบัตร XYZ ลบกับผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล Credit Spread=Yield of XYZ Bond−Yield of Government Bond=7%−4%=3%
- คำนวณ Default Risk Premium: Default Risk Premium คือผลตอบแทนเพิ่มเติมที่คุณต้องการรับเมื่อลงทุนในพันธบัตร XYZ เพื่อความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ ในที่นี้คือค่าเครดิตสเปรดที่คำนวณได้ Default Risk Premium=Credit Spread=3%
ในตัวอย่างนี้ ค่า Default Risk Premium ที่คุณคำนวณได้คือ 3% ซึ่งแสดงถึงผลตอบแทนที่คุณต้องการรับเพิ่มเติมจากการลงทุนในพันธบัตร XYZ เพื่อความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการไม่ชำระหนี้ของบริษัท XYZ ในกรณีนี้ ถ้าค่า Default Risk Premium เพิ่มขึ้นแสดงว่าผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในการชดเชยความเสี่ยงดังกล่าวน้อยลง
ตัวอย่างที่ 2
สมมุติว่าคุณพิจารณาลงทุนในหุ้นของบริษัท ABC และหุ้นของบริษัท XYZ แต่ละบริษัทมีราคาหุ้นที่ $100 และมีอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง (risk-free rate) ที่ร้อยละ 5 คำนวณตามปัจจัยตลาดแล้วค่าเครดิตสเปรด (credit spread) ของหุ้น ABC และ XYZ คือ 2% และ 4% ตามลำดับ
ความสนใจของคุณคือการหา Default Risk Premium สำหรับทั้งสองบริษัท:
-
- คำนวณเครดิตสเปรด (Credit Spread): คำนวณผลตอบแทนเพิ่มเติมที่คุณต้องการรับเมื่อลงทุนในหุ้น ABC และ XYZ โดยลบร้อยละของอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยงออกจากผลตอบแทนของหุ้นแต่ละแห่ง
- สำหรับหุ้น ABC: 2% – 5% = -3%
- สำหรับหุ้น XYZ: 4% – 5% = -1%
- คำนวณ Default Risk Premium: หลังจากคำนวณเครดิตสเปรดสำหรับแต่ละบริษัทแล้ว คุณสามารถใช้ค่าเครดิตสเปรดเหล่านี้เป็น Default Risk Premium โดยตรง หรือแปลงเป็นจำนวนเต็ม (basis points) ได้ กล่าวคือ:
- Default Risk Premium ของหุ้น ABC: -3% = -300 basis points
- Default Risk Premium ของหุ้น XYZ: -1% = -100 basis points
- คำนวณเครดิตสเปรด (Credit Spread): คำนวณผลตอบแทนเพิ่มเติมที่คุณต้องการรับเมื่อลงทุนในหุ้น ABC และ XYZ โดยลบร้อยละของอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยงออกจากผลตอบแทนของหุ้นแต่ละแห่ง
ในที่นี้ ค่า Default Risk Premium มีค่าติดลบเนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นแต่ละแห่งน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยไม่มีความเสี่ยง สิ่งนี้หมายความว่าผู้ลงทุนกำลังสนใจความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุนในหุ้นเหล่านี้