Comparative Adavantage คืออะไร
Comparative Advantage (ความได้เปรียบที่เปรียบแตกต่าง) คือหลักการในเศรษฐศาสตร์ที่บอกถึงการแบ่งแยกและการจัดสรรการผลิตของประเทศแต่ละประเทศหรือบุคคลต่าง ๆ โดยพิจารณาจากความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ โดยตั้งอยู่บนค่าแรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ สารอาหาร น้ำท่วม และปัจจัยอื่น ๆผลประโยชน์ของหลักการ Comparative Advantage คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรและการผลิตระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศสามารถจัดหาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและราคาถูกมากขึ้น
หลักการ Comparative Advantage บอกว่าแม้ว่าประเทศหรือบุคคลในประเทศหนึ่ง ๆ จะมีความสามารถในการผลิตทุกชนิดของสินค้าหรือบริการไม่ได้ดีกว่าประเทศหรือบุคคลในประเทศอื่น ๆ แต่ยังสามารถเลือกที่จะผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการที่มีความเป็นเชิงพาณิชย์ให้ได้มากกว่าที่จะใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าหรือบริการอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความเชี่ยวชาญในการผลิตนั้น ๆ นอกจากนี้ยังส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและสร้างโอกาสในการทำธุรกิจระหว่างประเทศด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในระดับโลกได้ด้วยกัน
Comparative Adavantage มีอะไรบ้าง
หลักการ Comparative Advantage แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเกิดจากความเชี่ยวชาญในการผลิตที่แตกต่างกัน นี่คือตัวอย่างของสินค้าที่อาจมี comparative advantage:
ผลิตภัณฑ์เกษตร
หลักการ Comparative Advantage แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเกิดจากความเชี่ยวชาญในการผลิตที่แตกต่างกัน นี่คือตัวอย่างของสินค้าที่อาจมี comparative advantage:
-
- ผลิตภัณฑ์เกษตร: ประเทศที่มีพื้นที่ดินและสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเป็นเช่น ข้าว ถั่วเหลือง ผลไม้ เป็นต้น อาจมี comparative advantage ในการผลิตผลิตภัณฑ์เกษตรเหล่านี้
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง: ประเทศที่มีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสูง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น อาจมี comparative advantage ในการผลิตสินค้าเหล่านี้
- บริการที่มีการศึกษาและความเชี่ยวชาญสูง: บริการที่ต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญสูง เช่น บริการทางการแพทย์ การศึกษาสูง บริการทางวิทยาศาสตร์ อาจมี comparative advantage ในการผลิตบริการเหล่านี้
- แรงงานที่มีทักษะพิเศษ: ประเทศที่มีแรงงานที่มีทักษะพิเศษในการผลิตสินค้าหรือบริการเฉพาะ เช่น งานฝีมือ งานศิลปะ งานความงาม อาจมี comparative advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการเหล่านี้
- ทรัพยากรธรรมชาติ: ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ เชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นต้น อาจมี comparative advantage ในการผลิตสินค้าที่ใช้ทรัพยากรเหล่านี้
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง (High-Tech Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าหรือบริการที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและมีความซับซ้อนสูง เนื่องจากใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สูงขึ้นเพื่อการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ว อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงมักเกี่ยวข้องกับการนวัตกรรม การวิจัยและการพัฒนาที่ทันสมัยประเทศที่มีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสูง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น อาจมี comparative advantage ในการผลิตสินค้าเหล่านี้
บริการที่มีการศึกษาและความเชี่ยวชาญสูง
บริการที่มีการศึกษาและความเชี่ยวชาญสูงส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพและความเชี่ยวชาญที่ต้องการการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อให้สามารถให้บริการอย่างมีคุณภาพและเชี่ยวชาญได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างของบริการที่มีการศึกษาและความเชี่ยวชาญสูง บริการที่ต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญสูง เช่น บริการทางการแพทย์ การศึกษาสูง บริการทางวิทยาศาสตร์ อาจมี comparative advantage ในการผลิตบริการเหล่านี้ มีความสำคัญในการพัฒนาและเติบโตของประเทศและสังคม การมีบริการที่มีความเชี่ยวชาญสูงช่วยส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาคในประเทศ พัฒนาความรู้และเทคโนโลยี และประสานความสามารถของบุคคลและสังคมให้เข้ามาช่วยในการบริการและการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ
แรงงานที่มีทักษะพิเศษ
ความเชี่ยวชาญเหล่านี้ทำให้แรงงานมีค่าเพิ่มมากขึ้นในการผลิตสินค้าและบริการที่มีความซับซ้อนและคุณค่าสูง ทำให้มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นประเทศที่มีแรงงานที่มีทักษะพิเศษในการผลิตสินค้าหรือบริการเฉพาะ เช่น งานฝีมือ งานศิลปะ งานความงาม อาจมี comparative advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการเหล่านี้
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพยากรที่มาจากธรรมชาติและมีอยู่ในสภาพธรรมชาติโดยไม่ผ่านกระบวนการผลิตหรือประมวลผลมนุษย์ เช่น ดินแดน น้ำ อากาศ พืช สัตว์ แร่ธาตุ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ หรือในการอาศัยชีวิตประจำวัน นี่คือตัวอย่างของทรัพยากรธรรมชาติที่มักถูกใช้งาน:
-
- ดินและพื้นที่: ดินและพื้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการเพาะปลูกพืช และการสร้างอาคารและสถานที่ใช้งานต่าง ๆ เช่น บ้าน ๆ อาคารพาณิชย์ และอาคารอุตสาหกรรม
- น้ำ: น้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการอาศัยชีวิตและการผลิต นอกจากนี้ยังใช้ในการเพาะปลูกพืช การผลิตพลังงาน การบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อม และการใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
- พลังงานธรรมชาติ: นี่รวมถึงพลังงานที่เกิดขึ้นจากแหล่งธรรมชาติโดยตรง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานไฟฟ้าจากน้ำนิ่ง
- พืชและสัตว์: พืชเป็นแหล่งอาหาร วัสดุประกอบอาหาร และวัสดุอื่น ๆ เช่น ไม้ ใยสังเคราะห์แสง อีกทั้งยังมีการใช้พืชเป็นส่วนประกอบของยาและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่วนสัตว์มักถูกเลี้ยงเพื่อการผลิตเนื้อสัตว์ เนื้อประกอบอาหาร หรือผลิตสิ่งของอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากหนังและขนสัตว์
- แร่ธาตุ: แร่ธาตุเป็นวัสดุธรรมชาติที่ใช้ในอุตสาหกรรมและการผลิตสินค้า เช่น แร่เหล็กสำหรับการผลิตเหล็กและเหล็กระบบ น้ำมันหินไฟฟ้าสำหรับการผลิตพลังงาน แร่ทองคำและเงินสำหรับการผลิตเครื่องประดับ และอื่น ๆ
ทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของใคร
ทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage Theory) ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษชื่อดาวิด ริชาร์ด ริคาร์โด (David Ricardo) ในปี 1817 ในงาน “Principles of Political Economy and Taxation” ของเขา ทฤษฎีนี้เน้นการใช้ความเชี่ยวชาญในการผลิตเป็นหลักการในการตัดสินใจในการค้าและการผลิตสินค้าระหว่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ริคาร์โดเสนอว่าแม้ว่าประเทศหรือบุคคลในประเทศนั้น ๆ จะมีความสามารถในการผลิตทุกชนิดของสินค้าหรือบริการ แต่ยังควรเลือกผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตมากที่สุด และนำเข้าสินค้าหรือบริการที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตมากขึ้น
ทฤษฎีนี้ช่วยในการอธิบายและเข้าใจว่าการค้าระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการที่แตกต่างกัน จะสร้างประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย โดยที่แม้ฝ่ายหนึ่งจะมีความสามารถในการผลิตทั้งสองสินค้ามากกว่าอีกฝ่าย แต่ถ้ามีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าหนึ่งประเทศหรือบริการมากกว่า ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบก็ยังเกิดขึ้น รวมถึงทฤษฎีนี้ยังช่วยในการอธิบายเหตุผลที่ประเทศต่าง ๆ มักจะมีการเปิดตัวกับการค้าระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการที่ตนเองมีความสามารถในการผลิตเป็นพิเศษ และการค้านั้นเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่าง Comparative Adavantage
ห้เรามาดูตัวอย่างของ Comparative Advantage ด้านการผลิตสินค้าระหว่างประเทศ A และประเทศ B:
ประเทศ A:
-
- สามารถผลิตเสื้อผ้าและส่งออกได้ 10,000 ชิ้นต่อปี
- สามารถผลิตอาหารและส่งออกได้ 5,000 หน่วยต่อปี
ประเทศ B:
-
- สามารถผลิตเสื้อผ้าและส่งออกได้ 8,000 ชิ้นต่อปี
- สามารถผลิตอาหารและส่งออกได้ 4,000 หน่วยต่อปี
เมื่อเราคำนวณค่าแรงงานและทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้าและอาหารของทั้งสองประเทศ จะได้ผลดังนี้:
ประเทศ A:
-
- ผลิตเสื้อผ้า: 1,000 ชิ้นต่อหน่วยแรงงาน
- ผลิตอาหาร: 2,500 หน่วยต่อหน่วยแรงงาน
ประเทศ B:
-
- ผลิตเสื้อผ้า: 1,600 ชิ้นต่อหน่วยแรงงาน
- ผลิตอาหาร: 2,000 หน่วยต่อหน่วยแรงงาน
จากตัวอย่างนี้เราสามารถเห็นว่า:
-
- ประเทศ A มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตอาหารมากกว่าประเทศ B (2,500 > 2,000) และประเทศ B มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตเสื้อผ้ามากกว่าประเทศ A (1,600 > 1,000)
- ด้วยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตอาหารที่มีประเทศ A มีความเชี่ยวชาญมากกว่า ประเทศ A ควรเลือกที่จะผลิตและส่งออกอาหารมากกว่าเสื้อผ้า
- ด้วยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตเสื้อผ้าที่มีประเทศ B มีความเชี่ยวชาญมากกว่า ประเทศ B ควรเลือกที่จะผลิตและส่งออกเสื้อผ้ามากกว่าอาหาร
ดังนั้น การแบ่งแยกการผลิตด้วยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถเลือกที่จะผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุด ซึ่งจะนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบและประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นสำหรับทั้งสองประเทศในการค้าและการผลิต
ข้อดีข้อเสียของ Comparative Adavantage
หลักการ Comparative Advantage มีข้อดีและข้อเสียตามนี้:
ข้อดี Comparative Adavantage
- การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต: หลักการนี้ช่วยให้ประเทศสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและเลือกตั้งแต่งานที่ตนเองมีความสามารถในการผลิตมากที่สุด
- การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้า: การตัดสินใจผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้าระหว่างประเทศ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลตอบแทนที่ได้จากการค้านั้น
- การขยายตลาดสินค้าและบริการ: หลักการนี้เปิดโอกาสในการค้าระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน ทำให้ประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงและราคาถูกมากขึ้น
- การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: การค้าที่เกิดขึ้นจากหลักการ Comparative Advantage ช่วยสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน
ข้อเสีย Comparative Adavantage
- การพึ่งพาผู้อื่นในการผลิต: หลักการนี้อาจทำให้ประเทศเข้าสู่สถานการณ์ที่พึ่งพาผู้อื่นในการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความเชี่ยวชาญ ถ้าผู้อื่นยกเลิกการผลิตหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการค้า ประเทศอาจต้องพบกับความเสี่ยงในการหาแหล่งผลิตใหม่
- ความลำเอียงของราคา: หลักการนี้อาจทำให้เกิดความลำเอียงของราคาสินค้าหรือบริการในตลาด หากประเทศที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าประเทศอื่นไม่สามารถผลิตสินค้าหรือบริการนั้นได้ในขณะที่ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญน้อย ๆ ก็อาจต้องจ่ายราคาสูงขึ้น
- ความไม่เสมอภาคทางสังคม: หลักการนี้อาจทำให้การแบ่งแยกการผลิตมีผลต่อความเสมอภาคทางสังคมในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มบางกลุ่มไม่ได้รับประโยชน์เท่ากันจากความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
- ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง: หากสภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงหรือมีวิกฤตเกิดขึ้น เช่น การขึ้นราคาของวัตถุดิบหรือการปิดโดยไม่คาดคิด ประเทศที่พึ่งพาผลิตสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศอาจต้องเผชิญกับความเปราะบางในการผลิต
- การสูญเสียความรักษาการค้า: บางครั้งประเทศอาจต้องสูญเสียการค้าที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจของอื่น ๆ เมื่อประเทศที่มีความเชี่ยวชาญนี้เริ่มผลิตเองและเข้าสู่ตลาด