Activity ratio อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการทำงาน คืออะไร
อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการทำงาน หรือ “Activity Ratio” เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพของธุรกิจหรือองค์กรในการจัดการทรัพยากรและกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้ทราบถึงว่าทรัพยากรทางการเงินเป็นอย่างไรและถูกใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เราสามารถหาระบบกิจกรรมออกเป็นหลายอย่างตามความต้องการ เช่น การวิเคราะห์กิจกรรมการเงิน, การวิเคราะห์กิจกรรมการคลัง, การวิเคราะห์กิจกรรมการขาย, การวิเคราะห์กิจกรรมการผลิต เป็นต้น
การใช้ Activity ratio ช่วยให้ผู้บริหารหรือนักลงทุนทราบถึงประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและการจัดการของธุรกิจได้ดีขนาดไหน อัตราส่วนที่ใช้มากเกินไปอาจสื่อถึงการใช้ทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพและอาจต้องปรับปรุงระบบหรือกระบวนการการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจหรือองค์กรทราบถึงเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของตน และช่วยในการตัดสินใจและการวางแผนในการปรับปรุงกระบวนการทำงานและการจัดการทรัพยากรเพื่อเพิ่มผลกำไรและประสิทธิภาพทางการเงิน
สูตรคำนวณ Activity ratio
Activity ratio หรือ อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถคำนวณได้โดยใช้สูตรต่าง ๆ ซึ่งเหมาะกับแต่ละปัจจัยหรือสิ่งที่คุณต้องการวัด นี่คือสูตรสำคัญที่ใช้ในการคำนวณ Activity ratio หลายอย่างดังนี้
อัตราการหมุนเงินทุน
อัตราการหมุนเงินทุน (Capital Turnover Ratio) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการใช้ทุนหรือทุนที่ธุรกิจลงทุนไว้ ค่าอัตรานี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าธุรกิจสามารถใช้ทุนเริ่มต้น (หรือทุนจดทะเบียน) อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างรายได้จากกิจกรรมธุรกิจหรือไม่ นั่นคือ มันวัดว่ารายได้ที่เกิดขึ้นในธุรกิจมาจากการใช้ทุนเท่าใด สูตรสำหรับคำนวณอัตราการหมุนเงินทุน (Capital Turnover Ratio) คือ:
-
- ยอดขายสุทธิ (Net Sales) คือ รายได้ทั้งหมดที่ธุรกิจได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขาย เช่น ส่วนลดให้ลูกค้า ค่าส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
- ทุนจดทะเบียนหรือทุนจดทะเบียนที่ลดหลั่นลง (Capital) คือ ทุนที่ธุรกิจลงทุนไว้ในการดำเนินกิจกรรมธุรกิจ เช่น เงินทุนหมุนเวียน ทุนจดทะเบียน หรือทุนส่วนของผู้ถือหุ้น
อัตราการหมุนสินค้าคงคลัง
อัตราการหมุนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Ratio) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลังของธุรกิจหรือองค์กร อัตรานี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่าธุรกิจของคุณสามารถหมุนสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และสามารถใช้ทรัพยากรสินค้าในการสร้างรายได้ได้ดีแค่ไหน สูตรคำนวณอัตราการหมุนสินค้าคงคลังดังนี้
-
- “ต้นทุนสินค้า” คือ ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบในระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้นทุนที่บริษัทจ่ายในการจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบเพื่อจำหน่ายหรือผลิตสินค้า.
- “ค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ย” คือ ค่าเฉลี่ยของราคาสินค้าคงคลังในระหว่างรอบบัญชี ค่านี้คำนวณโดยรวมราคาสินค้าคงคลังเริ่มต้นและสิ้นสุดของรอบบัญชีแล้วหารด้วย 2.
อัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้
อัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable Turnover Ratio) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการจัดการบัญชีลูกหนี้ของธุรกิจหรือองค์กร อัตรานี้ช่วยในการวัดว่าธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ค่าอัตราการหมุนที่สูงแสดงว่าธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ได้อย่างรวดเร็วและมีระบบการเก็บเงินที่ดี คำนวณอัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้ด้วยสูตรต่อไปนี้:
อัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้ = ยอดขายสุทธิ / บัญชีลูกหนี้เฉลี่ย
-
- ยอดขายสุทธิ (Net Sales) คือ ยอดรายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าส่วนลดและค่าคืนสินค้า ซึ่งอาจมาจากการขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจของคุณในช่วงเวลาที่เราสนใจ (เช่น 1 ปี).
- บัญชีลูกหนี้เฉลี่ย (Average Accounts Receivable) คือ ค่าบัญชีลูกหนี้เฉลี่ยที่ยอดเป็นไปตามช่วงเวลาที่คุณสนใจ ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยนำยอดบัญชีลูกหนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดรอบบัญชีที่สนใจแล้วหารด้วย 2: สูตร บัญชีลูกหนี้เฉลี่ย = (ยอดบัญชีลูกหนี้เริ่มต้น + ยอดบัญชีลูกหนี้สิ้นสุด) / 2
อัตราการหมุนเงินสด
อัตราการหมุนเงินสด (Cash Turnover Ratio) เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการใช้เงินสดและรายการเสมือนเงินสดในธุรกิจหรือองค์กร อัตรานี้ช่วยในการประเมินว่าธุรกิจมีการจัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ การวัด Cash Turnover Ratio สามารถทำได้โดยใช้สูตรดังนี้:
อัตราการหมุนเงินสด = ยอดขายสุทธิ / เงินสดและรายการเสมือนเงินสด
-
- ยอดขายสุทธิ (Net Sales) คือ รายได้ทั้งหมดที่เข้ามาจากการขายสินค้าหรือบริการหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนลดให้ลูกค้า ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ
- เงินสดและรายการเสมือนเงินสด (Cash and Cash Equivalents) คือ จำนวนเงินสดที่คุณมีในมือ รวมถึงการลงทุนในรายการที่มีลักษณะเสมือนเงินสด เช่น เงินฝากธนาคารที่เบื้องต้นเทียบเท่าเงินสด หรือสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความเป็นเสมือนเงินสด
โดยส่วนใหญ่ทุก Activity ratio จะมีการใช้ยอดขายสุทธิเป็นตัวหาร เนื่องจากการวัดประสิทธิภาพการทำงานเกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ของธุรกิจ อัตราตัวหารที่นำมาใช้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหรือสิ่งที่คุณต้องการวัด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการวัดประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลัง คุณควรใช้สูตร Inventory Turnover Ratio และหากคุณต้องการวัดการจัดการบัญชีลูกหนี้ คุณควรใช้สูตร Accounts Receivable Turnover Ratio โดยใช้ข้อมูลทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อคำนวณอัตราส่วนที่ต้องการวัด ต้องการให้แน่ใจว่าข้อมูลที่คุณใช้เป็นข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและเป็นปีล่าสุดเพื่อให้ผลการวัดมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ธุรกิจหรือองค์กรของคุณได้ดีขึ้น
ยกตัวอย่างวิธีการคำนวณ Activity ratio
นี่คือตัวอย่างของ Activity ratio หลายประเภทที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการทำงานของธุรกิจหรือองค์กร:
- อัตราการหมุนเงินทุน (Capital Turnover Ratio):
-
- ตัวอย่าง: บริษัท XYZ มียอดขายสุทธิปีล่าสุด 10,000,000 บาท และทุนจดทะเบียนปีล่าสุด 2,000,000 บาท
-
- คำนวณ: Capital Turnover Ratio = 10,000,000 / 2,000,000 = 5
- อัตราการหมุนทุนคือ 5 เท่า หมายความว่าบริษัท XYZ ใช้ทุนจดทะเบียน 5 เท่าของรายได้การขายของตนในปีนั้น.
- อัตราการหมุนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover Ratio):
- ตัวอย่าง: ร้านค้า ABC มีต้นทุนสินค้าปีล่าสุด 2,000,000 บาท และค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ยในปีนั้น 500,000 บาท
- คำนวณ: Inventory Turnover Ratio = 2,000,000 / 500,000 = 4
- อัตราการหมุนสินค้าคงคลังคือ 4 เท่า หมายความว่าร้านค้า ABC หมุนสินค้าในคลังสี่ครั้งในปีนั้น.
- อัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable Turnover Ratio):
- ตัวอย่าง: บริษัท DEF มียอดขายสุทธิปีล่าสุด 5,000,000 บาท และบัญชีลูกหนี้เฉลี่ยในปีนั้น 1,000,000 บาท
- คำนวณ: Accounts Receivable Turnover Ratio = 5,000,000 / 1,000,000 = 5
- อัตราการหมุนบัญชีลูกหนี้คือ 5 เท่า หมายความว่าบริษัท DEF หมุนบัญชีลูกหนี้ห้าครั้งในปีนั้น.
- อัตราการหมุนเงินสด (Cash Turnover Ratio):
- ตัวอย่าง: ร้านธงฟ้ามียอดขายสุทธิปีล่าสุด 3,000,000 บาท และเงินสดและรายการเสมือนเงินสดในปีนั้นมีมูลค่า 500,000 บาท
- คำนวณ: Cash Turnover Ratio = 3,000,000 / 500,000 = 6
- อัตราการหมุนเงินสดคือ 6 เท่า หมายความว่าร้านธงฟ้าหมุนเงินสดหกครั้งในปีนั้น.
วิธีวิเคราะห์ Activity ratio
การวิเคราะห์ Activity ratio เป็นกระบวนการที่ช่วยในการเข้าใจและประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของธุรกิจหรือองค์กร โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนวิธีการวิเคราะห์ Activity ratio:
- เก็บข้อมูลและข้อมูลการเงิน: เริ่มต้นโดยรวบรวมข้อมูลทางการเงินที่จำเป็น เช่น รายได้สุทธิ (Net Sales), ต้นทุนสินค้า (Cost of Goods Sold), บัญชีลูกหนี้เฉลี่ย (Average Accounts Receivable), ค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ย (Average Inventory), เงินสดและรายการเสมือนเงินสด (Cash and Cash Equivalents), และทุนจดทะเบียนหรือทุนจดทะเบียนที่ลดหลั่นลง (Average Total Assets) ในช่วงเวลาที่สนใจ.
- คำนวณ Activity ratio: ใช้สูตรที่เหมาะสมสำหรับปัจจัยหรือสิ่งที่คุณต้องการวัดเพื่อคำนวณ Activity ratio ที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น Capital Turnover Ratio, Inventory Turnover Ratio, Accounts Receivable Turnover Ratio, หรือ Cash Turnover Ratio.
- วิเคราะห์ผลลัพธ์:
- เปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น: นำผลลัพธ์ที่ได้มาเปรียบเทียบกับธุรกิจหรือองค์กรในกลุ่มอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเพื่อดูว่าธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง.
- วิเคราะห์แนวโน้ม: ดูแนวโน้มของ Activity ratio ในระยะเวลาที่ต่าง ๆ เพื่อดูว่ามีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร.
- การจัดลำดับความสำคัญ: พิจารณา Activity ratio ที่มีผลต่อธุรกิจหรือองค์กรของคุณมากที่สุดและให้ความสำคัญกับนั้นในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ.
- สรุปและตัดสินใจ: สรุปผลการวิเคราะห์และตัดสินใจในการปรับปรุงหรือแก้ไขข้อบกพร่องในกระบวนการทำงานหรือการจัดการทรัพยากร เช่น หากค่า Inventory Turnover Ratio ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อาจต้องพิจารณาว่ามีการจัดการสินค้าคงคลังไม่เป็นประสิทธิภาพและต้องพยายามปรับปรุงระบบการจัดเก็บสินค้าคงคลัง.
ข้อดีข้อเสีย Activity ratio
Activity ratio (อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการทำงาน) มีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ดังนี้:
ข้อดีของ Activity ratio
- วัดประสิทธิภาพในการทำงาน: Activity ratio ช่วยในการวัดประสิทธิภาพของธุรกิจหรือองค์กรในการใช้ทรัพยากรและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงการจัดการทรัพยากรและกระบวนการทำงานขององค์กรได้ดีขึ้น.
- เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: การใช้ Activity ratio ช่วยในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของธุรกิจหรือองค์กรกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน นี้ช่วยในการระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงและการเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น.
- ช่วยในการตัดสินใจ: Activity ratio ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจในการลงทุนหรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน เนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงปัจจัยหรือสิ่งที่ส่งผลต่อผลประกอบการได้ดี.
- วิเคราะห์แนวโน้ม: การติดตาม Activity ratio ในระยะเวลาที่ต่าง ๆ ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้สามารถรับบทสนทนาและปรับปรุงตามสถานการณ์ได้.
ข้อเสียของ Activity ratio
- ข้อมูลอาจไม่ครอบคลุม: การคำนวณ Activity ratio อาจต้องใช้ข้อมูลทางการเงินที่ไม่ครอบคลุมหรือมีข้อมูลที่ขาดหาย ทำให้การวิเคราะห์เป็นไปได้ยาก.
- ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด: Activity ratio มีข้อจำกัดในการวิเคราะห์เนื่องจากผลลัพธ์อาจต้องการการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพตลาดหรือสถานการณ์รอบข้าง.
- ไม่ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม: บางอุตสาหกรรมอาจไม่มี Activity ratio ที่เหมาะสมสำหรับการวัดประสิทธิภาพ เนื่องจากคุณสมบัติของธุรกิจอาจแตกต่างกัน.
- มีข้อจำกัดในการวิเคราะห์สาเหตุ: Activity ratio ช่วยในการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพแต่ไม่สามารถแสดงสาเหตุของปัญหาหรือปรับปรุงได้โดยตรง การคำนวณ Activity ratio จะต้องร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข.