Absolute Advantage คืออะไร ทฤษฎีการได้เปรียบโดยสมบูรณ์ ข้อดีข้อเสีย ตัวอย่าง

Absolute Advantage คืออะไร

Absolute Advantage (ข้อได้เปรียบแบบสมบูรณ์) เป็นหลักการในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ถูกพูดถึงโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวสก็อต Adam Smith ในเล่มหนังสือ “The Wealth of Nations” ในปี 1776 ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของการเปรียบเทียบความได้เปรียบในการผลิตระหว่างประเทศ หรือระหว่างบุคคล ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละประเทศหรือบุคคลเองโดยใช้อัตราการผลิตที่ต่างกัน กรณีที่หนึ่งประเทศสามารถผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่าประเทศอีกประเทศหนึ่ง หรือสามารถผลิตมากขึ้นด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศนั้นมากกว่า นักเศรษฐศาสตร์จะเรียกว่าประเทศดังกล่าวมี Absolute Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ

Absolute Advantage คือหลักการเศรษฐศาสตร์ที่ระบุถึงความสามารถของประเทศหรือบุคคลในการผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่าผู้อื่น โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งเน้นไปที่ความเหมาะสมในการใช้ทรัพยากรและเวลาเพื่อผลิตสินค้าเหล่านั้น หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีการเปรียบเทียบความได้เปรียบในการผลิตระหว่างประเทศหรือบุคคล และช่วยกำหนดว่าประเทศหรือบุคคลใดมีความได้เปรียบในการผลิตที่แน่นอนและเหมาะสมกว่าคู่แข่ง

Absolute Advantage มีอะไรบ้าง

Absolute Advantage เป็นการแสดงให้เห็นถึงประเทศหรือบุคคลที่สามารถผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่าอีกประเทศหรือบุคคลหนึ่ง ๆ ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ ดังนี้:

การผลิตข้าวและอาหาร

ถ้าประเทศ A สามารถผลิตข้าวมากกว่าประเทศ B โดยใช้แรงงานและทรัพยากรอื่น ๆ ที่มีอยู่ในประเทศ A อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และประเทศ B ไม่สามารถผลิตข้าวในปริมาณเดียวกันได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ B นักเศรษฐศาสตร์จะพูดถึงว่าประเทศ A มี Absolute Advantage ในการผลิตข้าว อาจมีเหตุผลที่ทำให้ประเทศ A มี Absolute Advantage ในการผลิตข้าวเช่น

Absolute Advantage ในการผลิตข้าว
Absolute Advantage ในการผลิตข้าว
    • สภาพดินและสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวในประเทศ A ทำให้มีผลผลิตที่มากกว่าประเทศ B
    • การใช้เทคโนโลยีและวิธีการปลูกข้าวที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าในประเทศ A
    • มีแรงงานที่คอยดูแลแปลงข้าวและมีความชำนาญในการดูแลแปลงข้าวในประเทศ A มากกว่า

ดังนั้น ประเทศ A จะมี Absolute Advantage ในการผลิตข้าว และถ้าประเทศ B สามารถผลิตเสื้อผ้ามากกว่าประเทศ A ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ นักเศรษฐศาสตร์จะพูดถึง Absolute Advantage ในการผลิตเสื้อผ้าของประเทศ B ในแง่ที่ประเทศ B สามารถผลิตเสื้อผ้ามากกว่าประเทศ A โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ B อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

การผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ

ประเทศ C มีความสามารถในการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอมากกว่าประเทศ D ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ C อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และประเทศ D ไม่สามารถผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอในปริมาณเดียวกันได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ D นั้นคือ Absolute Advantage ของประเทศ C ในการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอเนื่องจากประเทศ C มี Absolute Advantage ในการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ ตามทฤษฎีการได้เปรียบแบบสมบูรณ์ ประเทศ C ควรจะผลิตและส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอที่มี Absolute Advantage นี้ เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ C อย่างเต็มที่

ในทางกลับกัน ประเทศ D มีความได้เปรียบสมบูรณ์ในการผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ อื่นที่มีทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ D มากกว่า ดังนั้น ประเทศ D อาจเลือกที่จะผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการที่มี Absolute Advantage นี้ และนำเข้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากประเทศ C เพื่อให้การผลิตและการค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเปรี้ยวเมื่อเทียบกับการผลิตเองในประเทศ D

การผลิตเทคโนโลยีและสินค้าที่ทำให้ใช้ทรัพยากรสูง

การผลิตเทคโนโลยีและสินค้าที่ทำให้ใช้ทรัพยากรสูงเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความซับซ้อนและต้องการการใช้ทรัพยากรที่มาก เช่น เวลาทำงานของคนที่เชี่ยวชาญ วัสดุที่สูงขึ้น และเครื่องมือที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพสูงและประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น:

การผลิตเทคโนโลยีและสินค้าที่ทำให้ใช้ทรัพยากรสูง
การผลิตเทคโนโลยีและสินค้าที่ทำให้ใช้ทรัพยากรสูง
    • เทคโนโลยีสื่อสาร: การพัฒนาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในสายสื่อสารต่าง ๆ ต้องการการวิจัยและพัฒนาที่ใช้ทรัพยากรของนักวิจัยและวิศวกรที่สูง
    • เทคโนโลยีพลังงาน: การพัฒนาและผลิตพลังงานทดแทนหรือพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ต้องการการวิจัยและการลงทุนในทรัพยากรเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตที่สูง
    • การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์: การผลิตเครื่องมือวิทยาศาสตร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย การแพทย์ หรืออุตสาหกรรมที่ซับซ้อน เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการทำศัลยกรรม อุปกรณ์ทดสอบในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
    • สินค้าที่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีสูง: สินค้าที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่สูงและใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ชิปสวิตช์ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เครื่องเขียนด้วยเทคโนโลยีพิเศษ เป็นต้น

ถ้าบุคคล X สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่โดยใช้เวลาและความชำนาญที่สูงกว่าบุคคล Y และบุคคล Y ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีเดียวกันได้ในเวลาเท่ากันเป็นที่เยี่ยมของ Absolute Advantage ในการสร้างเทคโนโลยี

การบริการทางการแพทย์และบริการสุขภาพ

ด้านการบริการทางการแพทย์และบริการสุขภาพ เช่น การดูแลสุขภาพและการรักษาโรค เป็นต้น มีหลายด้านที่มีความสำคัญและความสามารถที่แตกต่างกันในการให้บริการ ตัวอย่างที่จะแสดงถึง Absolute Advantage ในด้านนี้ได้แก่:

    • ความชำนาญของแพทย์และผู้ให้บริการสุขภาพ: บุคคลหนึ่งอาจมีความชำนาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคที่สูงกว่าคนอื่น ๆ ด้วยประสบการณ์ทางปฏิบัติและการศึกษาที่เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ที่มีความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับภาวะทางจิตใจที่ซับซ้อน
    • เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย: ประเทศหนึ่งอาจมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและสามารถใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น เครื่องมือการศึกษาองค์กรร่างกาย (MRI, CT scan) ที่มีความละเอียดสูง หรือเครื่องเขียนบันทึกข้อมูลการรักษาที่ทันสมัย
    • ระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ: การจัดระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน โดยให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่เหมาะสม และการดูแลผู้ป่วยที่มีคุณภาพสูง

ทางกลับกัน ประเทศหรือบุคคลที่ไม่มี Absolute Advantage ในด้านการบริการทางการแพทย์และบริการสุขภาพอาจจะเลือกที่จะสนใจในการพัฒนาและผลิตสินค้าหรือบริการทางอื่นที่มีความสามารถและประสิทธิภาพสูงกว่าในด้านนั้น ๆ อย่างเช่น การผลิตเทคโนโลยีทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือการเสริมสร้างพื้นฐานทางสุขภาพของประชากร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลและประสิทธิภาพในการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศหรือบุคคลนั้น ๆ ถ้าบุคคล Z เป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษาโรคในระดับที่สูงกว่าบุคคล W และบุคคล W ไม่มีความสามารถเดียวกันในการให้บริการทางการแพทย์เป็นที่เยี่ยมของ Absolute Advantage ในการให้บริการสุขภาพ

ทฤษฎีการได้เปรียบโดยสมบูรณ์ คืออะไร

ทฤษฎีการได้เปรียบแบบสมบูรณ์ (Comparative Advantage) เป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่กล่าวถึงความเปรียบเทียบความได้เปรียบในการผลิตระหว่างประเทศหรือบุคคลที่มีความสามารถแตกต่างกันในการผลิตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ โดยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละประเทศหรือบุคคลเอง แนวคิดหลักข behind ทฤษฎีการได้เปรียบแบบสมบูรณ์ ถูกพัฒนาโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ David Ricardo เป็นครั้งแรกในปี 1817 ในหนังสือ “Principles of Political Economy and Taxation”.

หลักการนี้สรุปว่า ถ้าแต่ละประเทศสามารถผลิตสินค้าหรือบริการใด ๆ ด้วยต้นทุนในการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศอีกประเทศหนึ่ง แม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มี Absolute Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ก็ตาม ประเทศที่มีความได้เปรียบสมบูรณ์ (Comparative Advantage) ในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ควรจะเลือกที่จะผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการดังกล่าว เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศในทางที่เหมาะสมที่สุด และนำเข้าสินค้าหรือบริการที่มี Comparative Advantage จากประเทศอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ

ข้อดีข้อเสียของ Absolute Advantage

Absolute Advantage มีข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ดังนี้:

ข้อดีข้อเสียของ Absolute Advantage
ข้อดีข้อเสียของ Absolute Advantage

ข้อดีของ Absolute Advantage:

    • ประสิทธิภาพในการผลิต: ประเทศหรือบุคคลที่มี Absolute Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการแสดงถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้แรงงานหรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
    • ความเสถียรภาพ: ประเทศหรือบุคคลที่มี Absolute Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการแล้วมักจะมีความเสถียรภาพในการจัดการเศรษฐกิจ และสามารถดึงดูดลูกค้าหรือคู่ค้ามาใช้บริการหรือสินค้าของตนได้
    • แข่งขันในตลาด: การมี Absolute Advantage อาจช่วยให้ประเทศหรือบุคคลมีความเข้มแข็งในการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง

ข้อเสียของ Absolute Advantage:

    • จำกัดในการผลิตและความสามารถ: ประเทศหรือบุคคลที่มี Absolute Advantage ในด้านเฉพาะอาจมีความจำกัดในการผลิตหรือความสามารถในด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถนำเสนอหรือสร้างความได้เปรียบในด้านอื่น ๆ
    • ข้อจำกัดในการการแข่งขันระหว่างประเทศ: ถ้าประเทศหรือบุคคลต่างมี Absolute Advantage ที่แตกต่างกันในสินค้าหรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกัน การแข่งขันในการค้าระหว่างประเทศอาจไม่สมดุลและมีประสิทธิภาพต่ำ
    • ความขัดแย้งกับความเชื่อมั่นของคนอื่น: การมี Absolute Advantage อาจเป็นสาเหตุของความขัดแย้งและการแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น ทำให้เกิดความไม่เพียรอาจจะเกิดขึ้น
    • สภาวะตลาดและการเปลี่ยนแปลง: สภาวะตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตหรือสามารถผลิตในอนาคต ประเทศหรือบุคคลที่เคยมี Absolute Advantage อาจพบว่าตนเองไม่สามารถแข่งขันอย่างได้เดิม

ตัวอย่าง Absolute Advantage

สมมุติว่ามีประเทศ A และประเทศ B ซึ่งกำลังผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ดังนี้:

ตัวอย่าง Absolute Advantage
ตัวอย่าง Absolute Advantage
    • ประเทศ A: มีความสามารถในการผลิตข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถผลิตข้าวได้มากกว่าประเทศ B ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่
    • ประเทศ B: มีความสามารถในการผลิตเสื้อผ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถผลิตเสื้อผ้าได้มากกว่าประเทศ A ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่

ในกรณีนี้:

    • ประเทศ A มี Absolute Advantage ในการผลิตข้าว เนื่องจากสามารถผลิตข้าวมากกว่าประเทศ B ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่
    • ประเทศ B มี Absolute Advantage ในการผลิตเสื้อผ้า เนื่องจากสามารถผลิตเสื้อผ้ามากกว่าประเทศ A ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่

ดังนั้น ทั้งสองประเทศมีความได้เปรียบแบบสมบูรณ์ (Absolute Advantage) ในการผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน โดยแต่ละประเทศควรจะเลือกที่จะผลิตสินค้าที่มี Absolute Advantage ในการผลิตเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศในทางที่เหมาะสมที่สุด และนำเข้าสินค้าที่มีความได้เปรียบจากประเทศอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ

ทฤษฎีการได้เปรียบแบบสมบูรณ์ (Comparative Advantage) ถูกพัฒนาโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษชื่อ David Ricardo ในปี 1817 และได้รับความนิยมอย่างมากเป็นหลักในการแสดงความได้เปรียบในการค้าระหว่างประเทศ ดังตัวอย่างด้านล่าง:

สมมุติว่ามีประเทศ A และประเทศ B ซึ่งกำลังผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ดังนี้:

    • ประเทศ A: สามารถผลิตเสื้อผ้าได้ 10 ชิ้นต่อหน่วยแรงงาน และผลิตข้าวได้ 5 กิโลกรัมต่อหน่วยแรงงาน
    • ประเทศ B: สามารถผลิตเสื้อผ้าได้ 6 ชิ้นต่อหน่วยแรงงาน และผลิตข้าวได้ 3 กิโลกรัมต่อหน่วยแรงงาน

จากตัวอย่างนี้เราสามารถคำนวณ Comparative Advantage ของแต่ละประเทศในการผลิตสินค้าแต่ละประเภทตามอัตราส่วนของการผลิตเทียบกับแรงงาน ดังนี้:

    • ประเทศ A: (10 เสื้อผ้า / 5 กิโลกรัมข้าว) = 2 เสื้อผ้าต่อ 1 กิโลกรัมข้าว
    • ประเทศ B: (6 เสื้อผ้า / 3 กิโลกรัมข้าว) = 2 เสื้อผ้าต่อ 1 กิโลกรัมข้าว

จากการคำนวณนี้ เราพบว่าทั้งประเทศ A และประเทศ B มี Comparative Advantage ในการผลิตเสื้อผ้า เนื่องจากทั้งสองประเทศสามารถผลิตเสื้อผ้าได้มากกว่าการผลิตข้าวตามอัตราส่วนที่ได้กล่าวมา ดังนั้น ถ้าประเทศ A มุ่งผลิตเสื้อผ้าให้มากขึ้น และประเทศ B มุ่งผลิตเสื้อผ้าให้มากขึ้นเช่นกัน ทั้งสองประเทศสามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันโดยที่แต่ละประเทศสามารถใช้แรงงานและทรัพยากรที่มีอยู่ในทางที่เหมาะสมที่สุด และสร้างประสิทธิภาพในการค้าระหว่างสองประเทศ