โครงสร้างทางการเงิน คืออะไร มีอะไรบ้าง อธิบายแต่ละข้อพร้อมยกตัวอย่าง

โครงสร้างทางการเงิน คืออะไร

โครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure) คือรูปแบบหรือโครงสร้างที่บรรจุการเรียกเก็บเงินหรือทำงานในระบบการเงินของประเทศหรือองค์กรต่าง ๆ โดยรวมถึงการจัดหาเงินทุน การลงทุน การจัดการหนี้ การทำธุรกรรมทางการเงิน และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและบริหารจัดการทางการเงินขององค์กรหรือประเทศให้สามารถดำเนินกิจกรรมและประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพทางการเงินตามที่ต้องการ

โครงสร้างทางการเงิน. คืออะไร มีอะไรบ้าง
โครงสร้างทางการเงิน. คืออะไร มีอะไรบ้าง

โครงสร้างทางการเงิน คือการรวมรวมแหล่งเงินทุนที่ธุรกิจหรือองค์กรใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้นและแหล่งเงินทุนระยะยาว เพื่อให้สามารถรองรับและดำเนินกิจกรรมในระยะเวลาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน หนี้สิน และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในองค์กรหรือธุรกิจนั้น ๆ ถึงความสามารถในการจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อสถานการณ์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงได้ โครงสร้างทางการเงินที่ดีจะช่วยสนับสนุนในการพัฒนาและเติบโตของธุรกิจหรือองค์กรในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม

โครงสร้างทางการเงิน มีอะไรบ้าง

โครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure) คือการวางแผนและการจัดระบบทางการเงินขององค์กรหรือบริษัท เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินกิจการและการทำงานขององค์กรกับโครงสร้างของหนี้สินและส่วนของทุนที่ใช้ในการเงินขององค์กรนั้นๆส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างทางการเงินขององค์กร ซึ่งประกอบด้วยสามส่วนหลัก ดังนี้

หนี้สินหมุนเวียน

หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) คือหนี้สินที่ต้องชำระคืนภายในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมักจะไม่เกินหนึ่งปีหลังจากวันที่สร้างหนี้ หนี้สินหมุนเวียนมักเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างทางการเงินขององค์กร เนื่องจากมีผลต่อความสามารถในการจ่ายหนี้และรักษาความเสถียรภาพทางการเงินในระยะสั้น หนี้สินหมุนเวียนสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะและที่มาต่าง ๆ เช่น

    1. หนี้สินการค้า (Accounts Payable): เป็นเงินที่บริษัทต้องจ่ายให้กับซัพพลายเออร์หรือผู้ขายสำหรับสินค้าหรือบริการที่ซื้อเข้ามา โดยมักจะเก็บรายการเป็นบัญชีเจ้าหนี้การค้า
    2. หนี้สินเงินกู้สั้น (Short-term Borrowings): เป็นการกู้เงินที่มีระยะเวลาชำระหนี้ในระยะสั้น ส่วนมากจะใช้ในการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับความต้องการการเงินในระยะสั้น
    3. หนี้สินดอกเบี้ย (Interest Payable): เป็นเงินที่ต้องชำระในระยะเวลาสั้นเป็นดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน
    4. หนี้สินอื่น ๆ (Other Current Liabilities): รวมถึงหนี้สินอื่น ๆ ที่ต้องชำระคืนในระยะสั้น เช่น ค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้จ่าย, ภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย, ค่าเช่ารายเดือนที่ยังไม่ได้จ่าย เป็นต้น

การจัดการหนี้สินหมุนเวียนเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเสถียรภาพทางการเงินขององค์กร ความสามารถในการจ่ายหนี้สินในระยะสั้นจะส่งผลต่อความเชื่อถือของลูกหนี้ และสามารถมองเห็นได้ผ่านอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายหนี้สินหมุนเวียน (Current Ratio) หรืออัตราส่วนความสามารถในการจ่ายหนี้สินและค่าหนี้สินที่ต้องชำระคืนในระยะสั้น (Quick Ratio) ที่ถูกนำมาใช้วัดความสามารถในการจ่ายหนี้ในระยะสั้นขององค์กร

หนี้สินไม่หมุนเวียน

หนี้สินไม่หมุนเวียน คือหนี้สินที่ต้องชำระคืนในระยะเวลายาวกว่าหนึ่งปี ซึ่งมักจะมีระยะเวลาชำระหนี้นานขึ้น โดยทั่วไปแล้วหนี้สินระยะยาวเป็นหนี้สินที่มีระยะเวลาคืนหนี้ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป และอาจเป็นหนี้สินที่มีระยะเวลาคืนหนี้สูงสุดกว่าห้าปีขึ้นไปก็ได้ รูปแบบของหนี้สินระยะยาวมักจะเป็นเงินกู้หรือการจัดหาเงินทุนระยะยาวเพื่อสนับสนุนโครงการหรือกิจการในระยะยาว หรือการลงทุนในสินทรัพย์ส่วนกลาง หรือส่วนอื่น ๆ ที่มีระยะเวลาการคืนหนี้นาน ตัวอย่างของหนี้สินระยะยาวได้แก่

หนี้สินไม่หมุนเวียน
หนี้สินไม่หมุนเวียน
    • เงินกู้ยาว ๆ: กู้เพื่อเติมทุนหรือการลงทุนในโครงการหรือกิจการต่าง ๆ ที่มีระยะเวลาการคืนนาน
    • การออกและขายพันธบัตรหรือพันธะทางการเงิน (Bonds): องค์กรอาจออกพันธะทางการเงินขึ้นมาเพื่อขอกู้เงินจากตลาดทุนหรือผู้ลงทุน เพื่อสร้างเงินทุนระยะยาว
    • เช่าซื้อ (Leases): การเช่าอุปกรณ์หรือสินทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการโดยมีสัญญาเช่าซื้อเป็นระยะเวลายาว
    • หนี้สินประกันระยะยาว (Long-term Notes Payable): หนี้สินที่มีลักษณะเป็นเงินกู้ระยะยาวร่วมกับความสัญญาว่าจะชำระคืนในระยะเวลายาว

การจัดการหนี้สินระยะยาวจำเป็นต้องพิจารณาให้ดีเนื่องจากมีผลต่อโครงสร้างการเงินและความเสี่ยงขององค์กร การจัดทำแผนการชำระหนี้และการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรมีความสามารถในการจัดทรัพยากรทางการเงินเพื่อรองรับการชำระหนี้ในระยะยาวและรักษาความสมดุลในโครงสร้างการเงินขององค์กรให้มีความเสถียรภาพและเป็นมิตรกับผู้ลงทุนและเจ้าหนี้

ส่วนของผู้ถือหุ้น

ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) หมายถึงส่วนทุนที่ผู้เริ่มก่อตั้งหรือผู้ลงทุนให้มาเพื่อเป็นเงินทุนในการดำเนินกิจการขององค์กร หุ้นแสดงถึงส่วนของการครอบครองในองค์กรและสิทธิ์ในการรับผลกำไรและส่วนแบ่งจากกิจกรรมขององค์กร ส่วนทุนที่เจ้าของรับมาลงทุนในองค์กร เรียกว่าหุ้น เป็นเงินทุนที่ไม่ต้องถูกชำระคืน และไม่มีวันครบกำหนดการชำระหรือคืนเงิน ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากผู้ถือหุ้นเป็นผู้รับผลกำไรและความขาดทุนจากกิจการ ส่วนของผู้ถือหุ้นประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อการเสริมความเข้มแข็งและความเสถียรภาพทางการเงินขององค์กร องค์ประกอบสำคัญของส่วนของผู้ถือหุ้นได้แก่

    • ทุนจดทะเบียน (Registered Capital): เป็นจำนวนเงินที่องค์กรรับมาจากผู้ลงทุนเพื่อเป็นทุนสำหรับการก่อตั้งบริษัท จำนวนนี้อาจแบ่งเป็นหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ์ตามการกำหนดของบริษัท
    • เงินที่เรียกเก็บไม่เพียงพอ (Unappropriated Retained Earnings): เป็นส่วนแบ่งของกำไรสุทธิที่ยังไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลหรือใช้ในการลดหนี้สิน ส่วนนี้สามารถใช้ในการลงทุนในกิจการ หรือเพิ่มความสามารถในการขยายตัวขององค์กร
    • ทุนสะสม (Accumulated Surplus or Deficit): เป็นผลรวมของกำไรสะสมหรือขาดทุนสะสมที่กล่าวถึงกิจกรรมทางการเงินขององค์กรในอดีต ส่วนนี้สามารถใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สินหรือในการลงทุน
    • หุ้นสามัญ (Common Stock): เป็นหุ้นที่มีสิทธิ์ในการรับผลประโยชน์จากกิจกรรมและกำไรสุทธิขององค์กร ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการประชุมสถานะส่วนทุนและมีสิทธิ์ในการแบ่งส่วนแบบเท่าๆ กัน
    • หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stock): เป็นหุ้นที่มีสิทธิ์ในการรับเงินปันผลหรือเงินปันผลตามอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หุ้นบุริมสิทธิ์มักจะมีสิทธิ์เข้าไปก่อนหุ้นสามัญในการรับเงินปันผลและการแบ่งส่วนแบบเท่าๆ กัน
    • เงินทุนสะสมขาดทุน (Accumulated Deficit): เป็นส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นที่แสดงถึงขาดทุนสะสมที่องค์กรเคยมีในอดีต ส่วนนี้จะแสดงถึงความขาดทุนที่สะสมกันมาจากกิจกรรมในองค์กร

ตัวอย่างโครงสร้างทางการเงิน

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างของโครงสร้างทางการเงินของบริษัท XYZ อาจประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้:

ตัวอย่างโครงสร้างทางการเงิน
ตัวอย่างโครงสร้างทางการเงิน
    1. ทุน (Equity): บริษัท XYZ มีทุนเป็นจำนวน 1,000,000 หน่วยหุ้นมูลค่า 1 บาทต่อหน่วย รวมเป็นทุนรวม 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นเงินทุนที่เจ้าของบริษัทลงทุนเข้ามาและไม่ต้องชำระคืนในอนาคต
    2. หนี้สิน (Debt): บริษัท XYZ ได้กู้เงินจากธนาคารมูลค่า 500,000 บาทเพื่อใช้ในการขยายกิจการ และจะต้องชำระคืนพร้อมกับดอกเบี้ยในอนาคต
    3. ความสมดุลระหว่างหนี้สินและทุน (Debt-Equity Ratio): อัตราส่วนระหว่างหนี้สินและทุนของบริษัท XYZ คือ 0.5 เมื่อหนี้สินมูลค่า 500,000 บาท และทุนรวมมูลค่า 1,000,000 บาท ซึ่งแสดงว่าบริษัทมีหนี้สินเท่ากับครึ่งหนึ่งของทุนที่ใช้ในการเงิน
    4. โครงสร้างของหนี้สิน (Debt Structure): บริษัท XYZ มีโครงสร้างหนี้สินที่ประกอบด้วยเงินกู้จากธนาคารที่มีดอกเบี้ยประจำ เงินกู้นี้จะต้องชำระคืนในระยะเวลาที่กำหนดและมีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในระหว่างการคืนเงินกู้

ดังนั้น, โครงสร้างทางการเงินของบริษัท XYZ ประกอบด้วยการใช้ทุนของผู้ถือหุ้น (ทุน) และการกู้เงินจากธนาคาร (หนี้สิน) เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ อัตราส่วนระหว่างหนี้สินและทุนเป็นตัวบ่งชี้ว่าบริษัทมีการใช้หนี้สินมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับทุนที่บริษัทมีอยู่ โครงสร้างทางการเงินสามารถแสดงถึงความสมดุลและความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทในการดำเนินกิจการและการเจริญเติบโตในอนาคต

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างเพิ่มเติมของโครงสร้างทางการเงินของบริษัท ABC

    1. ทุน (Equity): บริษัท ABC มีทุนเริ่มต้นมูลค่า 2,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นมูลค่า 1 บาทต่อหน่วย รวมทั้งสามารถระดมเงินเพิ่มเติมจากการขายหุ้นหรือการลงทุนเพิ่มเติมจากผู้ถือหุ้น
    2. หนี้สิน (Debt): บริษัท ABC ได้ยืมเงินจากตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 1,000,000 บาทเพื่อสนับสนุนการขยายกิจการ กู้เงินนี้ต้องชำระคืนในระยะเวลา 5 ปีพร้อมดอกเบี้ย
    3. ความสมดุลระหว่างหนี้สินและทุน (Debt-Equity Ratio): อัตราส่วนระหว่างหนี้สินและทุนของบริษัท ABC คือ 0.5 กำหนดว่าบริษัทมีหนี้สินเท่ากับครึ่งหนึ่งของทุนที่ใช้ในการเงิน
    4. โครงสร้างของหนี้สิน (Debt Structure): บริษัท ABC มีโครงสร้างหนี้สินที่ประกอบด้วยเงินกู้จากตลาดหลักทรัพย์ ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลาการกู้ เงินกู้นี้จะต้องชำระคืนตามกำหนดและมีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย

โครงสร้างทางการเงินของบริษัท ABC มีการผสมผสานที่ดีระหว่างทุนและหนี้สินเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการ โดยรายการหนี้สินที่บริษัทกู้มาจากตลาดหลักทรัพย์มีตัวบ่งชี้การเป็นหนี้ที่คงที่และระยะเวลาการคืนเงินกู้ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเงิน

โครงสร้างทางการเงินขององค์กรหรือบริษัทสามารถได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการจัดทางการเงิน ดังนี้:

ขนาดและลักษณะกิจการ

ขนาดและลักษณะกิจการขององค์กรจะมีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน บริษัทใหญ่ที่มีกิจการข้ามชาติอาจมีโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างจากบริษัทเล็กที่มุ่งหวังการเจริญเติบโตในตลาดในประเทศเดียว โดยขนาดและลักษณะกิจการขององค์กรเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน ตัวอย่างการกระทำในส่วนนี้ประกอบด้วย

ขนาดขององค์กร: องค์กรที่มีขนาดใหญ่มักจะมีทุนเงินที่มากกว่า และอาจมีการเข้าถึงทุนรายย่อยหลายแห่ง นอกจากนี้ องค์กรขนาดใหญ่มักมีโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากต้องจัดการกับการเงินจากแหล่งต่าง ๆ อย่างเช่น การกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า หรือการเจริญเติบโตด้วยการเผยแพร่หุ้น
ลักษณะกิจการ: องค์กรในอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกันอาจมีโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น บริษัทในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอาจมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตที่เน้นการผลิตของจำนวนมาก

การเจริญเติบโต

การเจริญเติบโตเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเงินขององค์กร การเจริญเติบโตในการดำเนินกิจการส่งผลต่อโครงสร้างทางการเงินโดยตรงและอ้อมถึงการตัดสินใจในด้านการเงิน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้การเจริญเติบโตเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อโครงสร้างทางการเงินองค์กรที่มุ่งหวังการเจริญเติบโตอาจมีความต้องการเงินในการลงทุนในการขยายกิจการ นั่นอาจเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การสร้างโรงงานหรือสถานที่ใหม่ หรือการลงทุนในการขยายฐานลูกค้าและตลาด

ความเสี่ยง

ความเสี่ยงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเงิน การจัดทางการเงินขององค์กรและการตัดสินใจทางการเงินมักจะต้องพิจารณาและจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม ระดับความเสี่ยงในกิจการจะมีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน บริษัทที่มีการเจริญเติบโตและมีความเสี่ยงสูงอาจจะมีการใช้หนี้สินมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการลงทุน ในขณะที่บริษัทที่มุ่งหวังความเสถียรและความน่าเชื่อถืออาจจะเลือกใช้ทุนเงินสดมากกว่า โดยความเสี่ยงสามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภท เช่น

ความเสี่ยง
ความเสี่ยง
    • ความเสี่ยงทางการเงิน: เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดจากการจัดทางการเงินขององค์กร แบ่งเป็นหลายประเภทเช่น ความสามารถในการชำระหนี้สิน ความสมดุลของทุนและหนี้สิน และความสามารถในการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม
    • ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: ปัจจัยเชิงเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ย สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน สามารถมีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน
    • ความเสี่ยงทางตลาด: ความผันผวนในราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ย และสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ สามารถมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนและการจัดทางการเงิน
    • ความเสี่ยงทางอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจ: ความผันผวนในการผลิตและการตลาดของอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจที่องค์กรดำเนินกิจการอาจมีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน
    • ความเสี่ยงทางกฎหมายและการปกป้อง: ความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือความเสี่ยงจากคดีร้องเรียนหรือคดีทางกฎหมายอื่น ๆ สามารถมีผลต่อการเงิน

อุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจ

โครงสร้างทางการเงินขององค์กรหรือบริษัทมีความหลากหลายและส่งผลต่อการดำเนินกิจการและการจัดทางการเงินขององค์กร ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเงินได้แก่ขนาดและลักษณะกิจการ ความเสี่ยงทางธุรกิจ อุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจที่ดำเนินกิจการ เทคโนโลยีและการพัฒนา อัตราดอกเบี้ย ความเชื่อถือของตลาด และสภาวะเศรษฐกิจ การเข้าใจและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้องค์กรทำความเข้าใจถึงโครงสร้างทางการเงินของตนและทำให้ตัดสินใจในการจัดทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการและการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากกว่าในอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตแบบจำนวนมาก

อัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยเป็นค่าเฉลี่ยของเงินต้นที่ต้องชำระเป็นดอกเบี้ยต่อหน่วยเงินต้นในระยะเวลาที่กำหนด มีหลายประเภทเช่นอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน,อัตราดอกเบี้ยกู้ยืม,อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และอื่น ๆ อัตราดอกเบี้ยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระดับการกู้ยืมเงินและการลงทุนของบริษัท มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แบ่งออกเป็นระดับประชาชนและระดับองค์กร การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถมีผลกระทบกว้างขวางต่อตลาดและเศรษฐกิจโลก ในทางปฏิบัติ บริษัทและผู้ลงทุนจะต้องพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับการกู้ยืมและการลงทุนโดยพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ

ความเชื่อถือของตลาด

ความเชื่อถือของตลาด
ความเชื่อถือของตลาด

ความเชื่อถือของตลาดเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเงินและการตัดสินใจทางการเงินขององค์กรหรือบริษัท ความเชื่อถือของตลาดหมายถึงวิวัฒนาการและมุมมองของผู้ลงทุน หน่วยเครดิต และส่วนมากจะรวมถึงผู้ที่มีความสัมพันธ์กับองค์กรเช่น ธนาคาร หน่วยงานการเงิน และนายหน้าตลาดหลักทรัพย์การเชื่อถือของผู้ลงทุนและเครดิตเนื่องจากผู้ให้ยืมเงินจะมีผลต่อโครงสร้างทางการเงิน ถ้าตลาดมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและความสามารถในการจ่ายหนี้สินของบริษัท จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนในการขอกู้เงิน

สภาวะเศรษฐกิจ

สภาวะเศรษฐกิจ (Economic Conditions) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อโครงสร้างทางการเงินขององค์กร สภาวะเศรษฐกิจอาจมีผลต่อทั้งแง่บวกและแง่ลบต่อองค์กรสภาวะเศรษฐกิจที่แวดล้อมองค์กรอาจมีผลต่อสภาพการเงิน ในช่วงเศรษฐกิจที่เจริญเติบโต บริษัทมีโอกาสในการขยายกิจการและการกู้เงินมากขึ้น