อัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง อธิบายพร้อมสูตรแต่ละประเภท และข้อดีข้อเสีย คุณสมบัติของแต่ละประเภท

อัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท คืออะไร

อัตราส่วนทางการเงินหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขทางการเงินสองอย่างที่แสดงถึงการแบ่งแยกหรือการสัมพันธ์กันระหว่างจำนวนเงินหรือค่าเงินที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือบริบททางการเงินต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนทางการเงินจะถูกแสดงเป็นเลขส่วนหรือเปอร์เซนต์ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจการเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเงินสองอย่างในปริมาณที่เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งอัตราส่วนทางการเงินสามารถช่วยให้ผู้บริหาร นักลงทุน และผู้ที่สนใจในการลงทุนทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ ได้อย่างมีความเป็นระบบและมีข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้น

อัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท คืออะไร
อัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท คืออะไร

การใช้อัตราส่วนทางการเงินช่วยให้ผู้บริหารและนักลงทุนเข้าใจและวิเคราะห์สภาพการเงินขององค์กรในมุมต่างๆ และช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินและกลยุทธ์ทางการเงินในองค์กรในวันนี้และอนาคต อัตราส่วนทางการเงิน แบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้

  1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios): เป็นอัตราส่วนที่ช่วยวัดความสามารถขององค์กรในการจ่ายหนี้และบุคลากรที่เกิดขึ้นในระยะสั้น โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่มีความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว อย่างเช่น อัตราส่วนเงินสดต่อหนี้สินค้าหรืออัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน.
  2. อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure Ratios): ช่วยวัดความสัมพันธ์ระหว่างทุนและหนี้ขององค์กร โดยที่เน้นไปที่ผลกระทบของหนี้ต่อทุนที่ลงทุน ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) หรืออัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ (Debt-to-Assets Ratio).
  3. อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios): ใช้วัดประสิทธิภาพขององค์กรในการทำกำไร ซึ่งจะเน้นที่ผลตอบแทนทางการเงินที่ได้จากการดำเนินกิจการ เช่น อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin) หรือ อัตราส่วนกำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity).
  4. อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Ratios): เน้นวัดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพย์สินขององค์กร เช่น อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover) หรือ อัตราส่วนรอบเงินสด (Cash Conversion Cycle).
  5. อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด (Market Value Ratios): วัดค่าของหุ้นและมูลค่าทางการตลาดของบริษัท อาจเน้นที่ประเมินผลกระทบของตลาดต่อมูลค่าขององค์กร เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio) หรือ อัตราส่วนมูลค่าตามตลาดต่อมูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน (Market-to-Book Ratio).

อัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท ประกอบด้วยอะไรบ้าง

อัตราส่วนสภาพคล่องที่ใช้ในการประเมินความสามารถในการจ่ายหนี้และการจัดการเงินสดในระยะสั้นขององค์กร การใช้อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเงินและกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อให้บริษัทสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยังคงความเสถียรในระยะยาวได้ โดยอัตราส่วนทางการเงิน 5 ประเภท ประกอบด้วย

อัตราส่วนสภาพคล่อง

อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios) เป็นชุดของอัตราส่วนทางการเงินที่วัดความสามารถขององค์กรในการจ่ายหนี้และการเจริญเติบโตในระยะสั้น โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์และหนี้ที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาสั้น อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริหารและนักลงทุนประเมินว่าองค์กรมีความสามารถในการจ่ายหนี้และทำการดำเนินกิจกรรมในระยะสั้นอย่างไร นี่คือหลายอัตราส่วนสภาพคล่องที่สำคัญ:

    1. อัตราส่วนเงินสดต่อหนี้สินค้า (Cash Ratio): วัดสามารถขององค์กรในการจ่ายหนี้ทันทีด้วยเงินสดและเทียบกับหนี้สินค้าที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาสั้น อัตราส่วนนี้เน้นความสามารถในการจ่ายหนี้โดยไม่ใช้สินทรัพย์อื่น ๆ
    2. อัตราส่วนเครดิตสามารถหมุนเวียน (Quick Ratio or Acid-Test Ratio): วัดความสามารถในการจ่ายหนี้โดยนำเงินสดและสินทรัพย์สามารถหมุนเวียน (เช่น บัญชีเงินฝากเงินธนาคารและหลักทรัพย์ที่ขายง่าย) เทียบกับหนี้สินค้า
    3. อัตราส่วนเงินสดเทียบหนี้ต่อเงินสดหมุนเวียน (Cash to Current Liabilities Ratio): วัดความสามารถในการปฏิบัติตามหนี้สินค้าโดยใช้เงินสดและเทียบกับหนี้สินค้าที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาสั้น
    4. อัตราส่วนรับหนี้สินต่อวงเงินรายหนี้สินค้า (Receivables Turnover Ratio): วัดประสิทธิภาพในการจัดการบัญชีลูกหนี้และวงเงินรายหนี้สินค้า โดยเปรียบเทียบยอดขายกับยอดเงินรายหนี้สินค้าเฉลี่ย
    5. อัตราส่วนวงเงินรายหนี้สินค้าต่อวงเงินรายหนี้สินค้าเฉลี่ย (Average Collection Period): วัดเวลาที่ใช้ในการเก็บเงินจากลูกค้าโดยเทียบกับระยะเวลาเฉลี่ยที่รับเงินรายหนี้สินค้า

อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน

อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินเป็นชุดของอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างทุนและหนี้ขององค์กร ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์ว่าองค์กรมีการดำเนินกิจการด้วยการเงินแบบไหน และระดับความเสี่ยงทางการเงินที่องค์กรอาจต้องเผชิญหน้า นี่คือหลายอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินที่พบบ่อย

อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน
อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน
    1. อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio): วัดความสัมพันธ์ระหว่างทุนของเจ้าของกับหนี้ที่องค์กรมี การสูงของอัตราส่วนนี้อาจแสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขององค์กรเนื่องจากมีการใช้หนี้มาก.
    2. อัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ (Debt-to-Assets Ratio): วัดส่วนเนียนระหว่างหนี้กับสินทรัพย์ทั้งหมดขององค์กร ส่วนใหญ่ถ้าค่าสูงแสดงถึงระดับความเสี่ยงทางการเงินที่สูง.
    3. อัตราส่วนค่าหนี้สู่ทุนที่ต้นทุน (Debt-to-Capital Ratio): วัดสัดส่วนระหว่างหนี้และทุนที่ต้นทุนขององค์กร ส่วนใหญ่รวมทั้งทุนที่เป็นเงินเจ้าของและหนี้ที่ติดค้าง.
    4. อัตราส่วนทุนส่วนของเจ้าของต่อทุนทั้งหมด (Equity Ratio): วัดส่วนเนียนระหว่างทุนของเจ้าของกับสินทรัพย์ทั้งหมด การค่าสูงส่วนใหญ่แสดงถึงระดับความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ.
    5. อัตราส่วนทุนสามารถหมุนเวียนได้ (Equity Turnover Ratio): วัดประสิทธิภาพในการใช้ทุนของเจ้าของในการสร้างรายได้ ค่าสูงแสดงถึงองค์กรสามารถใช้ทุนของเจ้าของในการสร้างรายได้ได้ดี.
    6. อัตราส่วนความหนี้สู่ส่วนของเจ้าของ (Debt-to-Equity Ownership Ratio): วัดความสัมพันธ์ระหว่างหนี้กับทุนของเจ้าของที่ลงทุนในองค์กร.
    7. อัตราส่วนทุนส่วนครอบครัว (Family Equity Ratio): วัดสัดส่วนของทุนที่เป็นของครอบครัวกับทุนรวมขององค์กร ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้ในการควบคุมและบริหารองค์กร.

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรเป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ช่วยให้เราวัดประสิทธิภาพขององค์กรในการทำกำไรจากกิจกรรมทางธุรกิจ ค่าผลตอบแทนทางการเงินที่ได้รับจากการดำเนินงานต่าง ๆ รวมถึงความสามารถในการสร้างกำไรที่มากน้อยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง นี่คือตัวอย่างของอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่นิยมใช้

    1. อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin): วัดร้อยละของกำไรสุทธิที่ได้จากยอดขาย หรือกำไรสุทธิต่อรายได้ทั้งหมด ค่าสูงระบุถึงความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายและสามารถสร้างกำไรสุทธิได้มากกว่า.
    2. อัตราส่วนกำไรทั่วไปต่อยอดขาย (Gross Profit Margin): วัดร้อยละของกำไรทั่วไปหรือกำไรขั้นต้นที่ได้จากการผลิตหรือให้บริการ ใช้วัดประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตหรือการบริการ.
    3. อัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อยอดขาย (Operating Profit Margin): วัดร้อยละของกำไรที่ได้จากกิจกรรมหลักของธุรกิจ ซึ่งยกเว้นค่าใช้จ่ายแบบไม่ตรงกับกิจกรรมหลัก.
    4. อัตราส่วนกำไรที่ได้จากการลงทุน (Return on Investment – ROI): วัดประสิทธิภาพในการลงทุน โดยนำรายได้สุทธิหรือกำไรสุทธิทั้งหมดมาหารด้วยทุนที่ลงทุน แล้วคูณด้วย 100 เพื่อแสดงเป็นร้อยละ.
    5. อัตราส่วนกำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity – ROE): วัดผลตอบแทนทางการเงินที่เจ้าของหุ้นได้รับจากการลงทุนในบริษัท โดยนำกำไรสุทธิมาหารด้วยทุนเริ่มต้นของเจ้าของหุ้น แล้วคูณด้วย 100.
    6. อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อทุนที่ลงทุน (Return on Assets – ROA): วัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรทางการเงินและทรัพย์สินทั้งหมด โดยนำกำไรสุทธิมาหารด้วยรวมของสินทรัพย์ทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100.

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์เป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่ช่วยวัดความเป็นประสิทธิภาพขององค์กรในการใช้ทรัพยากรทางการเงิน เพื่อสร้างรายได้และกำไรสูงสุด คำนวณจากอัตราส่วนระหว่างรายได้หรือส่วนของการขายกับสินทรัพย์ที่ใช้ในการสร้างรายได้นั้น ๆ นี่คือบางตัวอย่างของอัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์
อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์
    1. อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover Ratio): คำนวณโดยหารรายได้หรือยอดขายด้วยรายได้ทั้งหมดในระยะเวลาที่สนใจ อัตราส่วนนี้แสดงถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรทางการเงินในการสร้างรายได้ ค่าที่สูงขึ้นหมายถึงการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ.
    2. อัตราส่วนการหมุนเงินสด (Cash Conversion Cycle): เป็นระยะเวลาที่ใช้ในการแปลงสินค้าเป็นเงินสด คำนวณจากระยะเวลาเงินสดถูกลงทุนในวงจรการขาย (Days Sales Outstanding) ลบด้วยระยะเวลาเงินสดถูกลงทุนในวงจรการสั่งซื้อ (Days Payable Outstanding) แล้วบวกด้วยระยะเวลาเงินสดถูกลงทุนในการผลิต (Days Inventory Outstanding) อัตราส่วนนี้ช่วยวัดประสิทธิภาพในการควบคุมและจัดการกระบวนการเงินสด.
    3. อัตราส่วนการบริหารสินทรัพย์ต่อยอดขาย (Asset to Sales Ratio): คำนวณโดยหารรายได้หรือยอดขายด้วยรายได้ทั้งหมดในระยะเวลาที่สนใจ อัตราส่วนนี้ช่วยแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ในการสร้างยอดขาย.
    4. อัตราส่วนรอบการบริหารสินทรัพย์ (Inventory Turnover Ratio): คำนวณโดยหารยอดขายด้วยค่าสินค้าคงเหลือเฉลี่ยในระยะเวลาที่สนใจ อัตราส่วนนี้ช่วยวัดประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงเหลือเพื่อความสามารถในการสร้างยอดขาย.

อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด

อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด (Market Value Ratios) เป็นกลุ่มของอัตราส่วนทางการเงินที่วัดค่าของหุ้นและมูลค่าทางการตลาดของบริษัท โดยจะใช้ราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นเป็นฐานในการคำนวณ อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทกับราคาหุ้น มูลค่าตลาด หรือค่าเครื่องหมายตามตลาดที่อาจเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ นี่คือตัวอย่างของอัตราส่วนมูลค่าทางการตลาดที่สำคัญ:

    1. อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio, P/E Ratio): อัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อขายบนตลาดกับกำไรสุทธิต่อหุ้น อัตราส่วนนี้ช่วยในการวัดว่าราคาหุ้นสูงแค่ไหนเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ มากน้อยแค่ไหน
    2. อัตราส่วนมูลค่าตามตลาดต่อมูลค่าสุทธิ (Market-to-Book Ratio, M/B Ratio): อัตราส่วนระหว่างมูลค่าตลาดของบริษัทกับมูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน ช่วยในการวัดว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในบริษัทเพียงใดตามมูลค่าตลาดที่แสดง
    3. อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (Price-to-Sales Ratio, P/S Ratio): อัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อขายบนตลาดกับยอดขายของบริษัท ใช้ในการวัดว่าราคาหุ้นสูงแค่ไหนเมื่อเทียบกับยอดขายที่บริษัททำได้
    4. อัตราส่วนมูลค่าตลาดต่อมูลค่าทรัพย์สิน (Market-to-Asset Ratio, M/A Ratio): อัตราส่วนระหว่างมูลค่าตลาดของบริษัทกับมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท ช่วยในการวัดว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ของบริษัทเพียงใด

สูตรของแต่ละประเภท

    1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios):
      สูตรอัตราส่วนสภาพคล่อง
      สูตรอัตราส่วนสภาพคล่อง
      • อัตราส่วนเงินสดต่อหนี้สินค้า: เงินสดและเงินฝากประจำ / หนี้สินค้า
      • อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน: เงินสดและเงินฝากประจำ / ทุนหมุนเวียน
    2. อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure Ratios):
      • อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio): หนี้สิน / ทุนเรือนหุ้น
      • อัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ (Debt-to-Assets Ratio): หนี้สิน / สินทรัพย์ทั้งหมด
    3. อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios):
      • อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin): กำไรสุทธิ / ยอดขาย
      • อัตราส่วนกำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity): กำไรสุทธิ / ทุนเรือนหุ้น
    4. อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Ratios):
      • อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover): ยอดขาย / สินทรัพย์ทั้งหมด
      • อัตราส่วนรอบเงินสด (Cash Conversion Cycle): ระยะเวลาคลังสินค้า + ระยะเวลาการเรียกเก็บเงิน – ระยะเวลาการชำระหนี้
    5. อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด (Market Value Ratios):
      • อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio): ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น
      • อัตราส่วนมูลค่าตามตลาดต่อมูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน (Market-to-Book Ratio): มูลค่าตามตลาด / มูลค่าสุทธิของสินทรัพย์

ข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท

    1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios):
      • ข้อดี: ช่วยให้รับรู้ถึงความสามารถในการจ่ายหนี้ในระยะสั้น ช่วยในการวางแผนการเงินที่ถูกต้องและป้องกันความขาดเงินที่ไม่คาดคิด.
      • ข้อเสีย: อัตราส่วนเดียวไม่สามารถให้ภาพรวมเพียงพอเกี่ยวกับสภาพการเงินทั้งหมดขององค์กร มีความสำคัญมากต่อบริบทและลักษณะธุรกิจ.
    2. อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure Ratios):
      • ข้อดี: ช่วยให้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างทุนและหนี้ในองค์กร ช่วยในการปรับกลยุทธ์การเงินและการบริหารจัดการหนี้.
      • ข้อเสีย: ไม่สามารถบอกถึงความคาดหวังของผู้ลงทุนหรือตลาดเกี่ยวกับความปลอดภัยในการลงทุน.
    3. อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios):
      • ข้อดี: ช่วยวัดประสิทธิภาพในการทำกำไรและเปรียบเทียบกับองค์กรอื่น ช่วยในการวิเคราะห์การทำกำไรและปรับกลยุทธ์ในการดำเนินกิจการ.
      • ข้อเสีย: ไม่สามารถตรวจสอบความเหมาะสมของราคาหุ้นหรือมูลค่าทางการตลาดเมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไร.
    4. อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Ratios):
      • ข้อดี: ช่วยให้เข้าใจการใช้สินทรัพย์ในการสร้างรายได้ ช่วยในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์และการดำเนินกิจการ.
      • ข้อเสีย: อาจไม่สามารถแสดงถึงปัญหาที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินหรือการชำระหนี้ที่ไม่ครบถ้วน.
    5. อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด (Market Value Ratios):
      • ข้อดี: ช่วยในการวิเคราะห์ว่าตลาดเป็นอย่างไรต่อมูลค่าของบริษัท ช่วยในการเปรียบเทียบความคาดหวังของตลาดและผลกำไร.
      • ข้อเสีย: อาจไม่สามารถแสดงถึงสภาพการเงินทั้งหมดหรือปัญหาที่เกี่ยวกับผลตอบแทนทางการเงินในอนาคต.

คุณสมบัติของแต่ละประเภท

    1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios):
      คุณสมบัติอัตราส่วนสภาพคล่อง
      คุณสมบัติอัตราส่วนสภาพคล่อง
      • อัตราส่วนเงินสดต่อหนี้สินค้า: ช่วยให้รู้ถึงความสามารถในการชำระหนี้สินค้าด้วยเงินสด อัตราส่วนที่มากขึ้นแสดงว่ามีความสามารถในการชำระหนี้สินค้าด้วยเงินสด.
      • อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน: ช่วยวัดสามารถในการหมุนเวียนเงินทุนหมุนเวียน เงินทุนหมุนเวียนสูงมักแสดงถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ดี.
    2. อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure Ratios):
      • อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio): ช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างทุนและหนี้ขององค์กร อัตราส่วนน้อยอาจแสดงถึงการใช้หนี้ที่น้อยและการเงินที่มั่นคง.
      • อัตราส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ (Debt-to-Assets Ratio): ช่วยวัดสัดส่วนของหนี้ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด อัตราส่วนน้อยโดยทั่วไปแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงทางการเงิน.
    3. อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios):
      • อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin): วัดความสามารถในการกำไรจากยอดขาย สูงแสดงว่ามีประสิทธิภาพในการบริหารกิจการ.
      • อัตราส่วนกำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity): วัดผลตอบแทนทางการเงินของเจ้าของทุนเรือนหุ้น สูงแสดงว่ามีประสิทธิภาพในการประกอบกิจการ.
    4. อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Ratios):
      • อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Asset Turnover): ช่วยวัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ในการสร้างรายได้ สูงแสดงว่าสามารถใช้ทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
      • อัตราส่วนรอบเงินสด (Cash Conversion Cycle): วัดระยะเวลาที่ใช้ในการแปลงสินค้าเป็นเงินสด แสดงความสามารถในการเก็บเงินจากการขาย.
    5. อัตราส่วนมูลค่าทางการตลาด (Market Value Ratios):
      • อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio): วัดราคาหุ้นต่อกำไรที่บริษัททำได้ อัตราส่วนต่ำอาจแสดงถึงความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไรในอนาคต.
      • อัตราส่วนมูลค่าตามตลาดต่อมูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน (Market-to-Book Ratio): วัดความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าทางการตลาดกับมูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน สูงแสดงว่าตลาดประเมินความมั่นคงของบริษัทมากกว่ามูลค่าสุทธิของสินทรัพย์.