ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย คืออะไร สูตรคำนวณ ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน วิธีคำนวณ ยกตัวอย่างอธิบายอย่างง่าย พร้อมกับอธิบายข้อมูล

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย คืออะไร

“ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย” หรือ “Owner’s Equity” เป็นส่วนหนึ่งของบัญชีทางการเงินที่ใช้ในการบันทึกสถานะการเงินของธุรกิจหรือองค์กร ส่วนนี้แสดงถึงค่าสุทธิที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทมีอยู่ในบริษัทนั้นหลังจากหักหนี้สินและหนี้รับออกจากสินทรัพย์รวมกับหนี้และสินทรัพย์สุทธิทั้งหมดของบริษัท ซึ่งส่วนของเจ้าของเฉลี่ยจะแสดงถึงส่วนของความครอบครองหรือส่วนของเจ้าของในบริษัทหรือธุรกิจ นี่เป็นส่วนที่แสดงถึงความควบคุมของเจ้าของต่อบริษัท และส่วนนี้สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามผลกำไรหรือขาดทุนของบริษัท การเติบโตของส่วนของเจ้าของเฉลี่ยสามารถเกิดจากการลงทุน, การส่งเสริมการขาย, หรือการกำหนดมูลค่าใหม่ให้กับสินทรัพย์ที่มีอยู่ในบริษัท

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย คืออะไร

ส่วนของเจ้าของเป็นองค์ประกอบสำคัญของกิจการ ซึ่งมีผลสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงและความควบคุมในบริษัท ส่วนนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญสำหรับผู้บริหารและเจ้าของกิจการเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อนักลงทุนที่สนใจลงทุนในบริษัทด้วยเราสามารถใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt-to-Equity Ratio) เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงินของกิจการได้ อัตราส่วนนี้เป็นอัตราส่วนที่ช่วยให้เราทราบว่ากิจการมีหนี้สินแค่ไหนเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของในบริษัท

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย มีอะไรบ้าง

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ยในบัญชีสอดคล้องกับหลักการทางบัญชีที่ถูกต้อง การแบ่งแยกรายการทุนเรือนหุ้นและส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Share Premium) เป็นวิธีที่มักใช้ในบัญชีเพื่อแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นของบริษัท และการแบ่งแยกนี้มีความสำคัญในกรณีที่มีการออกหุ้นเพิ่มหรือลดในระหว่างเวลา

ทุนเรือนหุ้น

ทุนเรือนหุ้น (Shared Capital) คือรายการในบัญชีที่ใช้ในการบันทึกมูลค่าของหุ้นของบริษัทที่ออกโดยมีราคาพาร์ (Par Value) หรือมูลค่าตามทะเบียนบริษัท รายการนี้จะแสดงค่าเป็นจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนจ่ายเพื่อซื้อหุ้นตามมูลค่าหุ้นที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นเมื่อบริษัทออกหุ้นส่วนใหม่ในกรณีเพิ่มทุนหรือจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นส่วนที่มีมูลค่าพาร์, จำนวนเงินที่รับจากการขายหุ้นส่วนนี้จะนำมาบันทึกในทุนเรือนหุ้น. ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนของเจ้าของเฉลี่ย (Owner’s Equity) ในบัญชีของบริษัทและแสดงถึงมูลค่าของหุ้นที่บริษัทมี โดยรายการทุนเรือนหุ้นมักมีค่าพาร์ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นการก่อตั้งบริษัท และมูลค่านี้อาจเป็นค่ามาตรฐานหรือค่าต่ำสุดที่ผู้ลงทุนจะต้องจ่ายในการซื้อหุ้นส่วน. รายการนี้จะแสดงในสถานะการเงินของบริษัทและใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้นส่วนที่ออกในตลาดหลักทรัพย์ ตัวอย่างการคิดทุนเรือนหุ้น (Shared Capital) ดังนี้

สมมุติว่าบริษัท XYZ Co. กำลังจะออกหุ้นส่วนใหม่โดยกำหนดราคาพาร์ (Par Value) ของหุ้นที่ $10 ต่อหุ้น และบริษัทนี้ขายหุ้นส่วนใหม่ในจำนวน 1,000 หุ้น ในขณะที่ผู้ลงทุนจ่ายเงินมาให้บริษัทในระยะเวลานี้คำนวณทุนเรือนหุ้น (Shared Capital) ได้โดยใช้สูตร ดังนี้

ทุนเรือนหุ้น = ราคาพาร์ × จำนวนหุ้น

ทุนเรือนหุ้น = $10 × 1,000 หุ้น = $10,000

ดังนั้น ทุนเรือนหุ้นของบริษัท XYZ Co. จะมีมูลค่ารวมเท่ากับ $10,000 หลังจากที่ผู้ลงทุนจ่ายเงินมาให้บริษัท โดยมูลค่านี้จะถูกบันทึกในบัญชีทุนเรือนหุ้นและจะเป็นส่วนหนึ่งของส่วนของเจ้าของเฉลี่ย (Owner’s Equity) ของบริษัท

ส่วนเกินมูลค่าหุ้น

ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Share Premium) เป็นรายการในบัญชีที่แสดงถึงผลต่างระหว่างราคาหุ้นที่ผู้ลงทุนจ่ายเมื่อซื้อหุ้นกับมูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ (Par Value) หรือมูลค่าหุ้นตามทะเบียน โดยส่วนเกินนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ราคาหุ้นที่ผู้ลงทุนจ่ายมาซื้อหุ้นสูงกว่ามูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น หรือในกรณีที่มูลค่าหุ้นตามราคาพาร์มีค่าเท่ากับศูนย์ (คือบริษัทไม่กำหนดมูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ที่เป็นตัวเลขที่แน่นอน) โดยส่วนเกินมูลค่าหุ้นนี้เป็นส่วนทุนเสริมที่บริษัทได้รับเพิ่มจากการออกหุ้นในราคาที่สูงกว่ามูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ โดยปกติแล้วส่วนเกินนี้จะเป็นบวกในบัญชีส่วนของเจ้าของเฉลี่ยและจะเพิ่มมูลค่ารวมของส่วนของเจ้าของในบริษัท นี่คือตัวอย่างการคิดส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Share Premium) ดังนี้

สมมุติว่าบริษัท XYZ ต้องการออกหุ้นใหม่เพื่อเรียกเงินเพิ่มในการขยายธุรกิจ และมีการกำหนดมูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ต้องการขายหุ้นใหม่ในราคา 15 บาทต่อหุ้น จำนวน 1,000,000 หุ้น:

      1. มูลค่าหุ้นตามราคาพาร์: 10 บาท/หุ้น
      2. ราคาหุ้นที่จะขาย: 15 บาท/หุ้น
      3. จำนวนหุ้นที่ขาย: 1,000,000 หุ้น

คำนวณส่วนเกินมูลค่าหุ้น:

ราคาหุ้นที่จะขาย (15 บาท/หุ้น) – มูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ (10 บาท/หุ้น) = ส่วนเกินมูลค่าหุ้น (5 บาท/หุ้น)

ส่วนเกินมูลค่าหุ้นสำหรับการออกหุ้นใหม่จะเท่ากับ 5 บาทต่อหุ้น และจำนวนหุ้นที่ขายคือ 1,000,000 หุ้น ดังนั้น:

ส่วนเกินมูลค่าหุ้น = 5 บาท/หุ้น x 1,000,000 หุ้น = 5,000,000 บาท

ดังนั้น, บริษัท XYZ จะได้รับเงินจากการออกหุ้นใหม่รวมกันทั้งหมด 5,000,000 บาท ในรายการบัญชีส่วนของเจ้าของเฉลี่ย, ส่วนเกินมูลค่าหุ้นจะถูกบันทึกเป็นส่วนของทุนเสริมหรือShare Premium และมูลค่าหุ้นตามราคาพาร์ที่จ่ายตามทะเบียนจะเป็นส่วนของทุนเรือนหุ้น

กำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม

รายการนี้แสดงผลกำไรหรือขาดทุนสะสมของกิจการ ค่านี้เพิ่มขึ้นเมื่อกิจการได้กำไรและลดลงเมื่อกิจการขาดทุน กำไรสะสมนี้สามารถนำมาใช้ในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหรือนำมาลดหนี้สินหรือใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่บริษัทต้องการใช้ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “กำไรสะสม” หรือ “ขาดทุนสะสม” ดังนี้

กำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม
กำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม
    • กำไรสะสม (Earned Surplus): กำไรสะสมหมายถึงผลกำไรที่บริษัทได้รับจากกิจกรรมทางธุรกิจของตนเองและสะสมไว้ในรายการบัญชีนี้ กำไรสะสมสามารถเกิดขึ้นจากกำไรสุทธิที่ได้จากการขายสินค้าหรือบริการ รวมถึงกำไรที่ได้จากการลงทุนหรือกิจกรรมอื่นๆ ของบริษัท กำไรสะสมนี้สามารถนำมาใช้ในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น หรือในการลดหนี้สิน นอกจากนี้ กำไรสะสมยังเป็นส่วนหนึ่งของส่วนของเจ้าของเฉลี่ยในสถานะการเงินของบริษัท.
    • ขาดทุนสะสม (Loss Surplus): ขาดทุนสะสมหมายถึงผลขาดทุนที่บริษัทสะสมไว้ในรายการบัญชีนี้ ขาดทุนสะสมเกิดจากขาดทุนสุทธิที่เกิดจากกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งสามารถเกิดจากการขายสินค้าหรือบริการที่ขาดทุน หรือจากกิจกรรมลงทุนหรือรายการอื่นๆ ที่ทำให้บริษัทขาดทุน ขาดทุนสะสมนี้จะลดลงเมื่อบริษัทได้กำไรในอนาคต หรือถ้าบริษัทตัดสินใจนำกำไรสะสมมาใช้ในการชดเชยขาดทุนสะสม.

สูตรคำนวณ ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ยดังกล่าวจะช่วยในการวิเคราะห์สถานะการเงินของบริษัทและในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของความครอบครองของเจ้าของในระหว่างเวลาที่ผ่านมา โดยส่วนของเจ้าของเฉลี่ยสามารถคำนวณได้จากสูตรง่าย ๆ ดังนี้

สูตรคำนวณ ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย
สูตรคำนวณ ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย = สินทรัพย์สุทธิ – หนี้สิน

โดยที่:

  • สินทรัพย์สุทธิ (Total Assets) คือรวมของทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทเป็นเจ้าของ ซึ่งรวมถึงเงินสด, หนี้เงิน, สินค้าคงคลัง, อสังหาริมทรัพย์, และสินทรัพย์อื่นๆ ที่บริษัทครอบครอง.
  • หนี้สิน (Liabilities) คือหนี้ที่บริษัทต้องชำระต่อผู้อื่น รวมถึงหนี้เงิน, หนี้รับ, หนี้พนักงาน, หนี้การเงิน, และหนี้อื่นๆ ที่บริษัทต้องชำระ.

ค่าที่ได้จากสูตรนี้จะแสดงถึงส่วนของความครอบครองหรือส่วนของเจ้าของในบริษัทหรือธุรกิจ นี่เป็นส่วนที่แสดงถึงความควบคุมของเจ้าของต่อบริษัท และส่วนนี้สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามผลกำไรหรือขาดทุนของบริษัท การเติบโตของส่วนของเจ้าของเฉลี่ยสามารถเกิดจากการลงทุน, การส่งเสริมการขาย, หรือการกำหนดมูลค่าใหม่ให้กับสินทรัพย์ที่มีอยู่ในบริษัท ตัวอย่างการคำนวณส่วนของเจ้าของเฉลี่ยของบริษัท โดยใช้ข้อมูลเชิงบัญชีเบื้องต้น

  1. สินทรัพย์สุทธิ (Total Assets): 5,000,000 บาท
    • เงินสด: 1,000,000 บาท
    • หนี้เงิน: 500,000 บาท
    • สินค้าคงคลัง: 2,000,000 บาท
    • อสังหาริมทรัพย์: 1,000,000 บาท
  2. หนี้สิน (Liabilities): 2,000,000 บาท
    • หนี้เงิน: 500,000 บาท
    • หนี้รับ: 1,000,000 บาท
    • หนี้พนักงาน: 300,000 บาท
    • หนี้การเงิน: 200,000 บาท

เราสามารถคำนวณส่วนของเจ้าของเฉลี่ยได้ดังนี้:

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย = สินทรัพย์สุทธิ – หนี้สิน

ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย = (5,000,000 บาท – 2,000,000 บาท) = 3,000,000 บาท

ดังนั้นส่วนของเจ้าของเฉลี่ยของบริษัทนี้มีมูลค่าอยู่ที่ 3,000,000 บาทในขณะนี้ นี้คือส่วนของความครอบครองของเจ้าของในบริษัทหลังจากหักหนี้สินที่ต้องชำระต่อผู้อื่นออกแล้ว

สูตรคำนวณ ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน

ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน (Equity Per Share) คำนวณได้โดยหารส่วนของเจ้าของเฉลี่ย (Owner’s Equity) ด้วยจำนวนหุ้นที่ออกและอยู่ในการจดทะเบียน (Outstanding Shares) ของบริษัทหรือองค์กร. สูตรคำนวณมีดังนี้:

สูตรคำนวณ ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน
สูตรคำนวณ ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน

Equity Per Share = Owner’s Equity / Outstanding Shares

โดยที่:

  • Owner’s Equity คือส่วนของเจ้าของเฉลี่ยที่อธิบายไว้ในคำตอบก่อนหน้านี้ สามารถคำนวณได้จากสูตร: สินทรัพย์สุทธิ – หนี้สิน
  • Outstanding Shares คือจำนวนหุ้นที่บริษัทออกและจดทะเบียนในการประชุมผู้ถือหุ้น นั่นคือจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้นหรือองค์กร.

การคำนวณ Equity Per Share จะช่วยในการวัดค่าหุ้นเฉลี่ยของผู้ถือหุ้นในบริษัทหรือองค์กร นี่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน และมันช่วยในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของหุ้นในเบื้องต้น. ค่านี้จะแสดงถึงมูลค่าของหุ้นเฉลี่ยในระบบหุ้นหรือหุ้นที่จดทะเบียนในบริษัทหรือองค์กรนั้น และนักลงทุนสามารถใช้ค่านี้ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของหุ้นตามราคาตลาดปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างวิธีการคำนวณดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

ตัวอย่างการคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน (Equity Per Share):

ข้อมูลที่ต้องการในตัวอย่างนี้:

    • Owner’s Equity (ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย): 1,000,000 บาท
    • Outstanding Shares (จำนวนหุ้นที่ออกและจดทะเบียน): 100,000 หุ้น

ต่อไปนี้คำนวณ Equity Per Share:

Equity Per Share = Owner’s Equity / Outstanding Shares

Equity Per Share = 1,000,000 บาท / 100,000 หุ้น

Equity Per Share = 10 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคนในบริษัทหรือองค์กรนี้คือ 10 บาทต่อหุ้นที่ออกและจดทะเบียนในการประชุมผู้ถือหุ้น. ค่านี้บ่งบอกถึงมูลค่าของแต่ละหุ้นในบริษัทหรือองค์กรนั้น และผู้ถือหุ้นจะรับรู้มูลค่าของหุ้นของตนเมื่อมีการซื้อขายหุ้นหรือลงทุนในบริษัท.

ตัวอย่างที่ 2

ตัวอย่างอีกตัวอย่างการคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน (Equity Per Share) โดยใช้ข้อมูลที่แตกต่าง

ตัวอย่างการคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน
ตัวอย่างการคำนวณส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคน

ข้อมูลที่ต้องการในตัวอย่างนี้:

    • Owner’s Equity (ส่วนของเจ้าของเฉลี่ย): 2,500,000 บาท
    • Outstanding Shares (จำนวนหุ้นที่ออกและจดทะเบียน): 125,000 หุ้น

ต่อไปนี้คำนวณ Equity Per Share:

Equity Per Share = Owner’s Equity / Outstanding Shares

Equity Per Share = 2,500,000 บาท / 125,000 หุ้น

Equity Per Share = 20 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยต่อคนในบริษัทหรือองค์กรนี้คือ 20 บาทต่อหุ้นที่ออกและจดทะเบียนในการประชุมผู้ถือหุ้น. ค่านี้บ่งบอกถึงมูลค่าของแต่ละหุ้นในบริษัทหรือองค์กรนั้น และผู้ถือหุ้นจะรับรู้มูลค่าของหุ้นของตนเมื่อมีการซื้อขายหุ้นหรือลงทุนในบริษัท