ทฤษฎี Markowitz คืออะไร Modern Portfolio Theory (MPT) คืออะไร อธิบาย การวิเคราะห์การใช้งานทฤษฎี

ทฤษฎี Markowitz คืออะไร

ทฤษฎี Markowitz หรือ “ทฤษฎีการกระจายพอร์ตโฟลิโอ” (Markowitz’s Portfolio Theory) คือแนวคิดและกรอบแนวคิดที่ถูกพัฒนาโดย Harry Markowitz ในปี ค.ศ. 1952 ในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพอร์ตการลงทุนและการกระจายทรัพย์สินในการลงทุน เป้าหมายหลักของทฤษฎีนี้คือการหาวิธีการลงทุนที่สามารถกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลกำไรในการลงทุนของบุคคลหรือองค์กร

ทฤษฎี Markowitz มีแนวคิดหลักอยู่ในการคำนวณและประเมินค่าความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ แล้วนำค่าเหล่านั้นมารวมกันเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม ในกระบวนการนี้ เขาใช้ความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในอดีตเป็นตัวชี้วัดของความเสี่ยง และพยายามค้นหาวิธีที่จะกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ รูปแบบเพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในทรัพย์สินเดียว ในการจัดการลงทุนเช่น แนวคิดการลงทุนแบบหุ้นค่าเฉลี่ย (Value at Risk) และการวิเคราะห์การกระจายที่ใช้ความแปรปรวนทางสถิติเชิงลึก เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงในการลงทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

Modern Portfolio Theory (MPT) คืออะไร

ทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory หรือ MPT) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพอร์ตการลงทุนและการวางแผนลงทุนโดยใช้กรอบแนวคิดทางทฤษฎีทางการเงินและการลงทุน เป็นผลมาจากงานวิจัยของ Harry Markowitz และอาจารย์อื่น ๆ ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20หลักการหลักของ MPT คือการคำนวณและประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ในพอร์ตแต่ละรูปแบบหลักการหลักของ MPT สรุปได้ดังนี้

การกระจายพอร์ต

การกระจายพอร์ต (Portfolio Diversification) เป็นหลักการในการลงทุนที่เน้นการลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์ที่แตกต่างกันเพื่อลดความเสี่ยงโดยไม่เสียผลตอบแทนที่สูง ความหลากหลายในพอร์ตการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงโดยมีความคิดว่าการลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์น้อยกันหรือไม่สัมพันธ์กันจะทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตมีการแปรผันต่ำกว่า หากเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์บางรายในพอร์ต สินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบอาจช่วยเป็นตัวช่วยในการบรรเทาความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

การกระจายพอร์ตมีความสำคัญในทฤษฎีการลงทุนเนื่องจากมันช่วยลดความเสี่ยงโดยไม่เสียผลตอบแทนที่สูงกว่า การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกันช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถสร้างพอร์ตที่เสถียรและสมดุลได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการลงทุนในหุ้นของบริษัทเพียงแค่รายเดียว การเปิดเผยต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในบริษัทนั้นโดยตรง และการแสดงผลในพอร์ตของคุณจะขึ้นอยู่กับผลกระทบของบริษัทเพียงรายเดียวนั้น แต่หากคุณกระจายการลงทุนในหลาย ๆ บริษัทที่ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมและตลาดที่แตกต่างกัน การลงทุนของคุณจะไม่ขึ้นอยู่กับบริษัทเดียว และความเสี่ยงจะแพร่กระจายออกมาในระดับพอร์ต

Efficient Frontier

Efficient Frontier
Efficient Frontier

Efficient Frontier หรือ เส้นทางการกระจายพอร์ตเป็นแนวโค้งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนในพอร์ตต่าง ๆ ที่เป็นไปได้อย่างสมเหตุสมผล โดยความสมเหตุสมผลที่นี่หมายถึงว่าหากในพอร์ตมีการกระจายลงทุนในสินทรัพย์แต่ละตัวเป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ผลตอบแทนที่คาดหวังสำหรับระดับความเสี่ยงที่เท่ากันจะมีค่าสูงที่สุด

Efficient Frontier เส้นโค้งจะมีรูปร่างเป็นเส้นโค้งโคนเล็กน้อยที่มุ่งสู่บน ซึ่งแสดงถึงสัดส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงในพอร์ตที่เหมาะสม นั่นหมายความว่าสามารถเพิ่มผลตอบแทนโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ แต่เมื่อเราเลื่อนไปข้างหน้าสู่พอร์ตที่อยู่นอกเส้น Efficient Frontier จะเป็นส่วนที่ไม่เป็นไปตามหลักการทฤษฎีการกระจายพอร์ต

Unsophisticated Virus

ความเสี่ยงแบบไม่แสดงความคาดหวัง” (Unsophisticated Virus) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory, MPT) และการวางแผนการลงทุน แนวคิดนี้เน้นการวางแผนในการลงทุนโดยไม่พยายามทำนายผลตอบแทนของการลงทุนในอนาคตหรือคาดหวังผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่าง ๆ ด้วยการใช้โมเดลทางทฤษฎีที่เป็นรูปแบบง่าย ๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้จากการลงทุนในปัจจุบันและไม่ต้องพยายามทำนายแนวโน้มอนาคตของตลาดหรือสินทรัพย์ที่ลงทุน

แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อว่าการพยายามทำนายและคาดคะเนผลตอบแทนในอนาคตมีความซับซ้อนและส่วนใหญ่จะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการวางแผนการลงทุนควรสร้างพอร์ตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับระดับความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับตัวแปรแปลงผันของตลาด การพิจารณาสินทรัพย์แต่ละรายการจะถูกกระทำโดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนปัจจุบัน และไม่ต้องการพยายามทำนายเป้าหมายผลตอบแทนในอนาคต การวางแผนลงทุนแบบนี้อาจช่วยลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์และคำนวณพอร์ตการลงทุน

Capital Market Line (CML)

Capital Market Line (CML)
Capital Market Line (CML)

Capital Market Line (CML) คือเส้นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่เสียเสียงกับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory หรือ MPT) ที่พัฒนาโดย Harry Markowitz และผู้อื่นในปี ค.ศ. 1952 CML มีหลักการที่เกี่ยวข้องกับการรวมความเสี่ยงไม่เกี่ยวข้องกับพอร์ตในตลาดที่รวบรวมทรัพย์สินทุกชนิดเข้าด้วยกัน โดยสมมติว่าพอร์ตนั้นสามารถลงทุนในทรัพย์สินประเภทที่ต่างกันได้ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นสภาพตลาดที่เชื่อมโยงกันและไม่มีค่าซื้อขายที่ไม่คุ้มค่า (no arbitrage condition)

CML มีลักษณะเป็นเส้นตรงที่เรียงลำดับตามอัตราความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนที่เสียเสียงกับความเสี่ยง โดยมีจุดเริ่มต้นที่สามารถระบุได้จากอัตราผลตอบแทนที่เสียเสียงของหลักทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง (Risk-Free Asset) เช่น เงินสัญญาค้ำประกันรัฐหรือหน่วยกู้เงินรัฐ (Treasury Bills) และความสัมพันธ์ระหว่างพอร์ตกับอัตราผลตอบแทนของพอร์ต (Portfolio Return) และความเสี่ยงของพอร์ต (Portfolio Risk) ที่มาจากการควบคุมอัตราส่วนการลงทุนในหลาย ๆ สินทรัพย์สินในพอร์ต

Security Market Line (SML)

เส้นตรง Security Market Line (SML) เป็นหนึ่งในแนวคิดทางการเงินและการลงทุนที่สร้างมาจากทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory, MPT) ซึ่งถูกพัฒนาโดย Harry Markowitz และนักวิจัยอื่น ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวคิดพื้นฐานของ SML คือสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่สูงกว่าเส้น SML จะถือว่ามีค่ามากกว่าค่าคาดหวังของตลาดและความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Beta) ส่วนสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าเส้น SML จะถือว่ามีค่าต่ำกว่าค่าคาดหวังของตลาดและความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด

SML เป็นเส้นตรงที่ใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของสินทรัพย์ (Expected Return) และระดับความเสี่ยงที่เป็นไปได้หรือเครื่องมือวัดความเสี่ยง (Beta) ของสินทรัพย์นั้น ๆ ในตลาดทั้งหมด ค่า Beta แสดงความไวของสินทรัพย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดทั้งหมด โดยถ้าค่า Beta มากกว่า 1 แสดงถึงสินทรัพย์ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดมากกว่าเดียว และถ้าค่า Beta น้อยกว่า 1 แสดงถึงสินทรัพย์ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้อยกว่า

ค่าความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Beta)

ค่าความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Beta) เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดความไวของสินทรัพย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดทั้งหมด นั่นหมายความว่า Beta จะช่วยให้เราทราบว่าสินทรัพย์นั้นมีความเสี่ยงมากขนาดไหนเมื่อเทียบกับตลาดทั้งหมด หรือว่ามีความเสี่ยงน้อยขนาดไหนกับตลาดทั้งหมด ค่า Beta สามารถแบ่งเป็นหลายระดับได้ดังนี้:

ค่าความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Beta)
ค่าความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Beta)
    • Beta > 1: ถ้าค่า Beta มากกว่า 1 แสดงว่าสินทรัพย์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดมากกว่า นั่นหมายความว่าสินทรัพย์นี้มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาด การเคลื่อนที่ของราคาของสินทรัพย์จะมีความผันผวนมากกว่าการเคลื่อนที่ของตลาดทั่วไป
    • Beta < 1: ถ้าค่า Beta น้อยกว่า 1 แสดงว่าสินทรัพย์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้อยกว่า นั่นหมายความว่าสินทรัพย์นี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าตลาด การเคลื่อนที่ของราคาสินทรัพย์จะมีความผันผวนน้อยกว่าการเคลื่อนที่ของตลาดทั่วไป
    • Beta = 1: ถ้าค่า Beta เท่ากับ 1 แสดงว่าสินทรัพย์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดเท่ากับความเปลี่ยนแปลงของตลาดทั่วไป นั่นหมายความว่าสินทรัพย์นี้มีความเสี่ยงเท่ากับความเสี่ยงของตลาด

การวิเคราะห์การใช้งานทฤษฎี Markowitz

การวิเคราะห์การใช้งานทฤษฎี Markowitz เพื่อจัดการพอร์ตการลงทุนนั้นเป็นกระบวนการที่ท้าทายและซับซ้อน ดังนั้นคุณควรทำขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ:

การวิเคราะห์การใช้งานทฤษฎี Markowitz
การวิเคราะห์การใช้งานทฤษฎี Markowitz
  1. เก็บรวบรวมข้อมูล: เริ่มต้นโดยการสะสมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่คุณสนใจลงทุน เช่น หุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับราคาปิด อัตราผลตอบแทน และความแปรปรวนของราคาในอดีต
  2. คำนวณผลตอบแทนและความแปรปรวน: คำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละสินทรัพย์ และคำนวณความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในอดีตเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดของความเสี่ยง ใช้ข้อมูลเพื่อคำนวณผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละสินทรัพย์ ความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในอดีตสามารถคำนวณได้โดยการคำนวณส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของอัตราผลตอบแทนในอดีต
  3. คำนวณ Matrix Variance-Covariance: สร้างเมตริกซ์ความแปรปรวนและความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ ค่าความแปรปรวนจะเป็นเมตริกซ์สี่เหลี่ยมที่แสดงการกระจายของผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละราย ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์สองรายจะแสดงด้วยค่าความสัมพันธ์แบบ Covariance ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการคำนวณค่าความเสี่ยงและผลตอบแทนของพอร์ต
  4. คำนวณ Efficient Frontier: ใช้ข้อมูลจาก Matrix Variance-Covariance เพื่อคำนวณ Efficient Frontier หรือเส้นโค้งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่เป็นไปได้ การคำนวณนี้เป็นขั้นสำคัญในการสร้างพอร์ตที่มีค่าคาดหวังสูงสุดเท่าที่เป็นไป
  5. คำนวณ Capital Market Line (CML) และ Security Market Line (SML): โดยใช้ค่าความแปรปรวนและความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ คำนวณ CML เพื่อหาแนวโน้มของการลงทุนที่เหมาะสมตามอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่คนลงทุนยอมรับได้ SML นั้นจะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของสินทรัพย์และค่า Beta ที่แสดงความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อวางแผนลงทุนและประเมินค่าความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์
  6. เลือกพอร์ตที่เหมาะสม: ด้วยข้อมูลจาก Efficient Frontier และ SML คุณสามารถเลือกสร้างพอร์ตที่ตรงกับวัตถุประสงค์และความพร้อมในการรับความเสี่ยงของคุณ พอร์ตที่เหมาะสมจะเป็นพอร์ตที่มีผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่สอดคล้องกับการวางแผน
  7. ปรับแต่งพอร์ต: ควรปรับแต่งพอร์ตเพื่อให้ตรงกับการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการลงทุน คุณสามารถแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์หรือปรับน้ำหนักสินทรัพย์ในพอร์ต
  8. คำนวณรายได้และความเสี่ยงที่คาดหวัง: หลังจากปรับแต่งพอร์ตแล้ว คุณสามารถคำนวณผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่คาดหวังของพอร์ตใหม่