ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ คืออะไร
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (International Economics) คือสาขาของเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเสนอแนะและวิเคราะห์เกี่ยวกับการกระทำและผลกระทบของกิจกรรมเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งสำหรับประเทศแต่ละประเทศมีการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ แรงงาน และทรัพยากรต่างๆ กันอย่างต่อเนื่อง และทฤษฎีนี้มีเป้าหมายที่จะเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนเหล่านี้ และเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน
การควบคุมการค้าระหว่างประเทศ การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ และผลกระทบของนโยบายเหล่านี้ต่อเศรษฐกิจในทั้งระดับประเทศและระดับสากล ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ในโลก globalized ปัจจุบัน.
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มีอะไรบ้าง
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศมีหลายแนวทางและทฤษฎีต่างๆ ที่ใช้ในการอธิบายและวิเคราะห์เหตุการณ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ นี่คือบางตัวอย่างจากทฤษฎีเหล่านั้น
ทฤษฎีมอนีทาริสต์ (Mercantilism)
ทฤษฎีมอนีทาริสต์ (Mercantilism) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยกลางถึงปลายศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 18 ในยุโรป แนวคิดนี้มีลักษณะเป็นแนวคิดเริ่มแรกในการจัดการเศรษฐกิจของรัฐและความสำคัญของการสะสมทรัพย์สินและเงินทองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ คำจำกัดความของทฤษฎีมอนีทาริสต์ ดังนี้
-
- การสะสมทรัพย์สินและเงินทอง: ทฤษฎีมอนีทาริสต์เน้นการสะสมทรัพย์สินและเงินทองเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเสริมสร้างความกำไรและความร่ำรวยให้กับประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มการส่งออกสินค้าและลดการนำเข้าสินค้า เพื่อเพิ่มสมดุลคงเหลือในการค้าระหว่างประเทศ
- การควบคุมการค้า: แนวคิดนี้เน้นการควบคุมและกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้าสินค้า ซึ่งอาจประกอบด้วยการอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่เข้มงวดหรือการเรียกเก็บอากรของสินค้านำเข้า
- ความเป็นอิสระ: ทฤษฎีมอนีทาริสต์เน้นการเพิ่มความเป็นอิสระของประชากรในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมการผลิตสินค้าในประเทศและการลดความพึงพอใจในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
- การขยายเขตราชอาณาจักร: แนวคิดนี้เน้นการขยายเขตราชอาณาจักรของประเทศ โดยการครองทรัพยากรธรรมชาติและดินแดนใหม่เพื่อเพิ่มการผลิตและการสะสมทรัพย์สิน
- การรักษาสมดุลคงเหลือการค้า: ทฤษฎีมอนีทาริสต์ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลคงเหลือในการค้าระหว่างประเทศ โดยการทำให้การส่งออกและการนำเข้าสินค้ามีมูลค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน
ความคิดของทฤษฎีมอนีทาริสต์ได้รับการยกย่องในช่วงของยุคสมัยกลางถึงปลายศตวรรษที่ 18 แต่ในระยะยาวแล้ว มองว่ามีข้อจำกัดและข้อเสีย เช่น การเน้นสะสมทรัพย์สินและเงินทองอาจส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ และการควบคุมการค้าอาจทำให้เกิดการต้านทานและการชะลอในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว.
ทฤษฎีแวนไทน์ (Theory of Comparative Advantage)
ทฤษฎีแวนไทน์ (Theory of Comparative Advantage) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญในเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัวิด ริชาร์ด แวนไทน์ (David Ricardo) ในช่วงปี 1817 ในหนังสือ “Principles of Political Economy and Taxation”.
ทฤษฎีนี้มีหลักการพื้นฐานว่าแม้ประเทศจะไม่มีความเหมาะสมในการผลิตทุกชนิดของสินค้า แต่จะยังคงสามารถเข้าร่วมการค้าระหว่างประเทศได้ และการแลกเปลี่ยนสินค้าจะสร้างประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ ด้วยเหตุผลในการเลือกผลิตและแลกเปลี่ยนที่มีความเชี่ยวชาญ (comparative advantage) ในการผลิตแต่ละชนิดของสินค้า หลักการหลักของทฤษฎีแวนไทน์มีดังนี้
-
- Comparative Advantage (ความเชี่ยวชาญในการผลิต): แม้ว่าประเทศหนึ่งๆ จะมีความสามารถในการผลิตทุกชนิดของสินค้า แต่จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการผลิตสินค้าบางชนิดมากกว่าชนิดอื่นๆ โดยประเทศควรผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญนี้ไป โดยที่จะได้รับสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญจากประเทศอื่นมาแลก
- Opportunity Cost (ต้นทุนสูญเสีย): หลักการของทฤษฎีแวนไทน์เน้นการวัดค่าของสินค้าที่ถูกสลับกับค่าของสินค้าอื่นที่สามารถผลิตได้ในประเทศเดียวกัน หรือในประเทศอื่น โดยใช้ต้นทุนสูญเสีย (opportunity cost) เป็นเกณฑ์ นั่นคือค่าที่ต้องสละในการผลิตสินค้าหนึ่ง เมื่อเลือกที่จะผลิตสินค้าอีกชนิด
- Mutually Beneficial Trade (การค้าที่สร้างประโยชน์ร่วมกัน): แม้ว่าประเทศหนึ่งจะมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าทั้งสองชนิด การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศจะยังคงมีประโยชน์ แม้ว่าประเทศหนึ่งจะมีความเชี่ยวชาญมากกว่าประเทศอีกประเทศหนึ่ง
ทฤษฎียุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ (Strategic Trade Theory)
ทฤษฎียุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ (Strategic Trade Theory) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งเน้นการใช้นโยบายรัฐบาลในการสร้างและส่งเสริมธุรกิจในตลาดนานาชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำไรของประเทศตนเอง ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายเหตุผลของการแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศที่มีผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าเฉพาะหนึ่งและอาจมีทรัพยากรทางธรรมชาติเฉพาะที่สนับสนุนการผลิตนั้นๆ ซึ่งทำให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการแข่งขันในตลาดนานาชาติ ความสำคัญของทฤษฎียุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศมีดังนี้
-
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ทฤษฎีนี้เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ โดยการเลือกผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญและแข็งแกร่งในการแข่งขัน
- การสร้างช่องทางใหม่: ทฤษฎีนี้เน้นการสร้างช่องทางใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ โดยการพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจที่ยังไม่มีคู่แข่งแข่งขัน
- การใช้นโยบายรัฐบาล: ทฤษฎียุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศเน้นการใช้นโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างและส่งเสริมการแข่งขันในตลาดนานาชาติ เช่น การให้ส่วนลดภาษี การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา หรือการให้เงินกู้รายได้ต่ำ
- การฟื้นฟูเศรษฐกิจ: ทฤษฎีนี้อาจช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะทางเศรษฐกิจที่เสียหาย โดยการสร้างอุตสาหกรรมใหม่และส่งเสริมการสร้างงาน
- ความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล: ทฤษฎีนี้ช่วยในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจในตลาดนานาชาติ
- การสร้างความเป็นอยู่ในตลาดระหว่างประเทศ: ทฤษฎีนี้ช่วยในการสร้างความเป็นอยู่ในตลาดระหว่างประเทศ ด้วยการสร้างการแข่งขันที่แข็งแกร่งในระดับนานาชาติ
ทฤษฎีชวนเชื่อ (Gravity Model)
ทฤษฎีชวนเชื่อ (Gravity Model) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการอธิบายและวิเคราะห์ปริมาณการค้าระหว่างประเทศ โดยพิจารณาว่าปริมาณการค้าระหว่างประเทศจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดการค้า ความแตกต่างในปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งทฤษฎีนี้นำความเชื่อมาจากกฎของฟิสิกส์ที่เรียกว่า “กฎแห่งถ่วงน้ำหนัก” (Law of Gravity) ที่กล่าวว่าแรงดึงดูดระหว่างวัตถุสองวัตถุจะขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุเหล่านั้นและระยะห่างระหว่างพวกเขา
ทฤษฎีชวนเชื่อเน้นความเชื่อมั่นว่าปริมาณการค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีความคล้ายคลึงกันในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และลดลงเมื่อมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างประเทศ ส่วนปัจจัยที่นำมาใช้ในทฤษฎีชวนเชื่อได้แก่:
-
- ขนาดของเศรษฐกิจ: ปริมาณการค้ามักมีความเชื่อมั่นว่าเพิ่มขึ้นเมื่อประเทศมีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีโอกาสผลิตและส่งเสริมการค้ามากขึ้น
- ระยะทางระหว่างประเทศ: ปริมาณการค้ามักมีความสัมพันธ์กับระยะทางระหว่างประเทศ ประเทศที่อยู่ใกล้กันมักจะมีการค้ามากกว่าประเทศที่ห่างไกล
- ความแตกต่างในรายได้: ความแตกต่างในรายได้ระหว่างประเทศสามารถส่งผลให้มีความไม่เชื่อมั่นในการค้าระหว่างประเทศ
- ความคล้ายคลึงในด้านวัฒนธรรมและภูมิภาค: ปริมาณการค้ามักเพิ่มขึ้นเมื่อประเทศมีความคล้ายคลึงกันในด้านวัฒนธรรม ภูมิภาค หรือภาษา
ทฤษฎีไฮเกนส์-อลล์เอนด์ (Heckscher-Ohlin Theory)
ทฤษฎีไฮเกนส์-อลล์เอนด์ (Heckscher-Ohlin Theory) เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่พัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์สองท่านชื่อไอวาร์ เฮกช์เนอร์ (Eli Heckscher) และบัรุษ เออร์ลิน (Bertil Ohlin) ในปี ค.ศ. 1919 และ 1933 ตามลำดับ ทฤษฎีนี้อธิบายถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกใช้และผลิตสินค้าในประเทศต่างๆ ในแง่ของแรงงานและทุนทรัพย์ โดยพิจารณาปริมาณและความแตกต่างของประการเหล่านี้ระหว่างประเทศ.หลักการหลักของทฤษฎีไฮเกนส์-อลล์เอนด์ คือ
-
- ประเทศที่มีแรงงานมากและราคาแรงงานต่ำ: ประเทศที่มีแรงงานมากและราคาแรงงานต่ำจะมีความเหมาะสมในการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เนื่องจากความแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต
- ประเทศที่มีทุนทรัพย์มากและราคาแรงงานสูง: ประเทศที่มีทุนทรัพย์มากและราคาแรงงานสูงจะมีความเหมาะสมในการผลิตสินค้าที่ใช้ทุนทรัพย์มาก เนื่องจากทุนทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต
- ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตที่แตกต่าง: ทฤษฎีนี้เน้นว่าประเทศที่มีความแตกต่างในปัจจัยการผลิตระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่นประเทศหนึ่งมีแรงงานมากกว่าทุนทรัพย์ ในขณะที่ประเทศอีกประเทศมีทุนทรัพย์มากกว่าแรงงาน จะมีความเหมาะสมในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่แตกต่างกัน
ทฤษฎีพาริตโต (Ricardian Model)
ทฤษฎีพาริตโต (Ricardian Model) เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อเดวิด ริคาร์ด ในปี 1817 และเป็นหนึ่งในทฤษฎีพื้นฐานสำคัญในการอธิบายความแตกต่างในการผลิตระหว่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตแตกต่างกันทฤษฎีพาริตโตเริ่มจากสมมติฐานที่มีแรงงานและทรัพยากรต่างๆ ถูกใช้ในการผลิตสินค้า และแสดงให้เห็นว่าการเรียกเก็บแรงงานและทรัพยากรมีความสำคัญมากในการกำหนดต้นทุนในการผลิต การแบ่งและการกำหนดขอบเขตของการผลิตระหว่างประเทศจะขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญในการผลิตแต่ละประเภทของสินค้า
ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับความแตกต่างในการเชี่ยวชาญ (Comparative Advantage) โดยทฤษฎีพาริตโตกำหนดว่าประเทศควรจะผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตมากที่สุด แม้ว่าประเทศจะสามารถผลิตทุกชนิดของสินค้าได้ แต่ความเชี่ยวชาญนั้นทำให้ประเทศสามารถผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความมั่นใจในคุณภาพและต้นทุนที่ต่ำกว่าเป็นพื้นฐานของทฤษฎีแวนไทน์ โดยเน้นความแตกต่างในแรงงานทำให้มีความเชี่ยวชาญในการผลิต แม้ประเทศจะไม่มีความเหมาะสมในการผลิตทุกชนิด
ตัวอย่าง ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
ตัวอย่างของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่มีอยู่มากมาย เนื้อหาแต่ละทฤษฎีจะมีความซับซ้อนและมุ่งหมายที่แตกต่างกัน และใช้ในการอธิบายสถานการณ์เศรษฐกิจระหว่างประเทศในแง่ต่างๆ ตามสภาวะและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง โดยยกตัวอย่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศด้านบนดังนี้
ตัวอย่างที่ 1
เพื่อให้คุณเข้าใจตัวอย่างของการคิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศมากขึ้น นี่คือตัวอย่างจากทฤษฎีแวนไทน์ (Theory of Comparative Advantage):
-
- สมมติให้มีประเทศ A และประเทศ B และมีทรัพยากรสองประเภทที่ใช้ในการผลิตสินค้าสองชนิด คือผลิตภัณฑ์ X และผลิตภัณฑ์ Y โดยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตดังนี้:
- ประเทศ A: มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า X
- ประเทศ B: มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า Y
ตามทฤษฎีแวนไทน์ การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ A และประเทศ B จะเป็นที่เหมาะสม เพราะทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน สามารถแบ่งและแลกเปลี่ยนสินค้าในที่ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดสำหรับทั้งสองฝ่ายเช่น ประเทศ A อาจผลิตผลิตภัณฑ์ X และส่งออกไปยังประเทศ B ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์ Y ในขณะที่ประเทศ B อาจผลิตผลิตภัณฑ์ Y และส่งออกไปยังประเทศ A ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตผลิตภัณฑ์ X
ตัวอย่างที่ 2
นี่คือตัวอย่างจากทฤษฎีพาริตโต (Ricardian Model) สมมติให้มีประเทศ A และประเทศ B ที่มีแรงงานและทรัพยากรเพียงพอในการผลิตสองชนิดของสินค้า คือผลิตภัณฑ์ X และผลิตภัณฑ์ Y
-
- ประเทศ A มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า X มากกว่าสินค้า Y
- ประเทศ B มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า Y มากกว่าสินค้า X
ตามทฤษฎีพาริตโต ประเทศ A จะเลือกผลิตและส่งออกสินค้า X เพราะมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านี้ ในขณะที่ประเทศ B จะเลือกผลิตและส่งออกสินค้า Y เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านี้ และสินค้า X และ Y จะถูกนำเข้าจากประเทศอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตแต่ละสินค้า
ตัวอย่างที่ 3
ทฤษฎีของยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ (Strategic Trade Theory) สมมติว่ามีประเทศ A และประเทศ B ที่กำลังพิจารณานโยบายการค้าระหว่างกัน โดยสมมติในที่นี้ว่าความแตกต่างในความต้องการของผู้บริโภคระหว่างสองประเทศนั้นเกิดจากความแตกต่างในความพร้อมจะจ่ายราคาสูงสุด (Willingness to Pay) ของผู้บริโภค
-
- ประเทศ A มีความพร้อมจะจ่ายราคาสูงสุดสำหรับสินค้าแบบหนึ่ง
- ประเทศ B มีความพร้อมจะจ่ายราคาสูงสุดสำหรับสินค้าแบบอื่น
ทฤษฎียุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศเติบโตจากการใช้นโยบายรัฐบาลเพื่อส่งเสริมธุรกิจที่มีความแตกต่างในความพร้อมจะจ่ายราคาสูงสุด โดยการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าในระดับสากล
แนวคิดของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศได้รับการพัฒนาและกลายเป็นกระบวนการที่ศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางและปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และการต่อสู้กันระหว่างความต้องการทรัพยากรและสินค้าต่างๆ ของแต่ละประเทศในระดับสากล นี่คือแนวคิดหลักของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ:
- กลไกและทรัพยากร: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศสนใจถึงวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับทรัพยากรและปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละประเทศ เช่น แรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี เงินทุน ฯลฯ และวิธีที่ทรัพยากรเหล่านี้ถูกนำเข้าหรือส่งออกระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการผลิตและการบริโภคที่มีประสิทธิภาพ
- ค่าแลกเปลี่ยน: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศได้สนใจถึงสัมประสิทธิ์และความคุ้มค่าของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเป็นตัวชี้วัดหรือเครื่องมือสำคัญ
- การเลือกตัดสินใจ: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศสอนให้เข้าใจเกี่ยวกับการตัดสินใจในการจัดการทรัพยากร การเลือกนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
- ทรัพยากรและผลผลิตที่แตกต่าง: ทฤษฎีนี้เน้นความแตกต่างในทรัพยากรและความสามารถในการผลิตสินค้าระหว่างประเทศ ที่ส่งผลให้ประเทศแต่ละประเทศมีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าบางอย่างมากกว่าสินค้าอื่น
- การแลกเปลี่ยนเชิงเสนอแนะ: แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างความเชื่อมั่นในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ โดยการลดขีดจำกัดทางการค้าและสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกลาง
- การกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศมีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ได้แก่ นโยบายการค้า เป้าหมายการเงินที่เกี่ยวข้องกับนโยบายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน และนโยบายเศรษฐกิจทั่วไป