ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง คืออะไร เรียนอะไร ความสำคัญของมัน จงยกตัวอย่าง อย่างละเอียด

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง คืออะไร

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒน์ระหว่างด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งมุ่งเน้นการวิเคราะห์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางการเมืองและสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเศรษฐกิจ โดยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมีหลักการและทฤษฎีที่หลากหลายและอาจมีการเน้นในด้านต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการสังเกตและวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์การเมืองแต่ละคน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมีความหลากหลายในมุมมองและแนวทางการวิเคราะห์

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นการศึกษาเชิงวิชาการที่เน้นการวิเคราะห์และทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งมุ่งหวังในการเข้าใจและอภิปรายถึงอำนาจทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการตัดสินใจเศรษฐกิจที่ส่งผลให้เกิดการแจกแจงทรัพยากรและความร่ำรวยในสังคม ทฤษฎีเหล่านี้อาจสนใจการกระจายอำนาจและความคุมระหว่างรัฐบาลและเอกชนในตลาด นโยบายทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการลงทุนและการผลิต การแก้ไขปัญหาสังคมและความไม่เสมอภาค และปัจจัยที่ส่งผลต่อการแบ่งแยกทรัพยากรระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เป็นต้น

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง เรียนอะไร

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นหลักสำคัญในการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เนื่องจากมันช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ และการแบ่งแยกปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและนโยบายทางการเมือง การเรียนรู้ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เศรษฐกิจและการเมืองต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การเรียนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองอาจประกอบด้วยเนื้อหาต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง ดังนี้

  • ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเบื้องต้น: การเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานในการเศรษฐศาสตร์การเมือง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและเศรษฐกิจ การแบ่งแยกอำนาจ และหลักการของการตลาด
  • ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองรัฐบาล: การศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลในเศรษฐกิจ การใช้นโยบายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจ การปรับปรุงสวัสดิการสังคม และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
  • ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเอกชน: การศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนในเศรษฐกิจ การผลิต การแข่งขันในตลาด การเกิดนโยบายธุรกิจ และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางเมือง
  • การวิเคราะห์นโยบายทางเศรษฐกิจและการเมือง: การศึกษาวิธีการวิเคราะห์และประเมินผลของนโยบายต่าง ๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจและการเมือง เช่น นโยบายเงินตรา นโยบายภาษี และนโยบายการควบคุมราคา
  • การศึกษากรณี: การสำรวจและวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันและอดีตที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง โดยการศึกษากรณีจะช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบและการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

แนวคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นแนวคิดหรือกรอบทฤษฎีที่ใช้ในการอธิบายและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมืองในสังคม ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าเศรษฐกิจและการเมืองมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร และส่งผลกับผู้คนและสังคมอย่างไรในการตัดสินใจทางเศรษฐศาสตร์และการเมือง นี่คือตัวอย่างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองที่สำคัญ:

แนวคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง
แนวคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง

ทฤษฎีเสรีนิยม (Liberalism)

ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของความเสรีภาพและสิทธิบัตรในการตัดสินใจเศรษฐกิจและการเมืองของบุคคล การศึกษาเสรีนิยมในเศรษฐศาสตร์การเมืองมุ่งเน้นไปที่ความสำคัญของตลาดเสรีและการปกป้องสิทธิและเสรีภาพบุคคลในการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจและการเมือง.

ทฤษฎีความเสมอภาค (Equality Theory)

ทฤษฎีนี้เน้นความเสมอภาคและการแก้ไขความไม่เสมอภาคในสังคมผ่านการกระทำทางเศรษฐศาสตร์และการเมือง เป้าหมายของทฤษฎีนี้คือการลดความต่างระหว่างกลุ่มทางเศรษฐกิจและการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสำหรับทุกคน.

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองคลาสสิก (Classical Political Economy)

ทฤษฎีนี้เกิดในปฏิสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในยุคคาปิตาล และในสมัยนั้นมีนักศึกษาเช่นอดัม สมิธ (Adam Smith) และเดวิด ริการ์โด (David Ricardo) ที่ศึกษาการผลิต การกระจายรายได้ และการแลกเปลี่ยนในตลาดเป็นพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์การเมือง.

ทฤษฎีมาร์กซิสม์ (Marxism)

ทฤษฎีนี้ขับเคลื่อนโดยการเข้าใจปัญหาของความไม่เสมอภาคและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มสังคมหรือคลาสต่าง ๆ ที่แข่งขันกันในการครอบครองทรัพยากรและอำนาจ มาร์กซิสม์เน้นความสำคัญของการปฏิบัติภารกิจทางเศรษฐกิจในการกำจัดความไม่เสมอภาคผ่านการรวมกลุ่มคลาสและการเปลี่ยนแปลงสังคม.

ความสำคัญของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมีบทบาทในการเสริมสร้างความเข้าใจและวิเคราะห์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองในสังคม โดยมีผลกระทบมากมายต่อการตัดสินใจทางเมืองและเศรษฐกิจในระดับทั้งรัฐบาลและบริบททางธุรกิจ นี่คือความสำคัญของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง:

  1. เข้าใจความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและการเมือง: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจทางการเมืองและผลกระทบที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจ นักวิจัยและนักเศรษฐศาสตร์สามารถวิเคราะห์เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนโยบายต่าง ๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างลึกซึ้งและเชื่อถือได้.
  2. การบริหารนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมือง: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการพัฒนานโยบายทางเศรษฐกิจและการเมือง นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์สามารถใช้ทฤษฎีเหล่านี้เพื่อการวางแผนและการตัดสินใจที่เป็นรากฐานและมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีอยู่จริง.
  3. การเข้าใจผลกระทบของนโยบาย: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองช่วยให้เราเข้าใจว่านโยบายต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอหรือนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบอย่างไรต่อผู้คนและเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์สามารถทำการจำลองและประเมินผลของนโยบายต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ดีที่สุด.
  4. การสร้างแนวทางนโยบายที่ยั่งยืน: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองช่วยให้เราสร้างแนวทางนโยบายที่มีความยั่งยืนและเหมาะสมกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคม การวิเคราะห์เบื้องต้นและการทดลองเสมือนจริงสามารถช่วยให้เรารู้ว่านโยบายใดที่อาจส่งผลให้เกิดผลกระทบที่ดีในระยะยาว.
  5. การเป็นพื้นฐานในการวิจัยและการพัฒนา: ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มันช่วยให้นักวิจัยและนักพัฒนาสามารถกำหนดแนวทางการศึกษาและการพัฒนาที่มีความเหมาะสมกับความจำเป็นของสังคมและเศรษฐกิจ.

ตัวอย่าง ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง

ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกตัดสินใจ

ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกตัดสินใจ(Decision-making theory) เป็นทฤษฎีที่วิเคราะห์กระบวนการในการตัดสินใจของบุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อพวกเขาต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งทางเลือกจากสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนหรือผูกมัด โดยใช้ทรัพยากรที่มีความจำกัดในการทำเลือก ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกตัดสินใจมักนำเสนอแนวคิดและโครงสร้างพื้นฐานในการวิเคราะห์กระบวนการตัดสินใจดังกล่าว ตัวอย่างของทฤษฎีเหล่านี้ได้แก่:

ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกตัดสินใจ
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกตัดสินใจ
    • ทฤษฎีการตัดสินใจเชิงรายได้ (Income-based Decision Theory): ทฤษฎีนี้เน้นคำนวณและประเมินผลกระทบต่อรายได้ของบุคคลหรือหน่วยงานจากการเลือกตัดสินใจ โดยพิจารณาเปรียบเทียบรายได้ที่จะได้รับจากแต่ละทางเลือกและความสมดุลของประโยชน์และต้นทุนของแต่ละทางเลือก.
    • ทฤษฎีการตัดสินใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ (Economic Decision Theory): ทฤษฎีนี้เน้นการวิเคราะห์การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเลือกตัดสินใจ เช่น ต้นทุน ผลตอบแทน ความเสี่ยง และเหตุผลเศรษฐกิจในการตัดสินใจ.
    • ทฤษฎีการตัดสินใจเชิงจิตวิทยา (Psychological Decision Theory): ทฤษฎีนี้เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจ รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรับรู้ ความเชื่อ ความรู้สึก และทัศนคติของบุคคลในกระบวนการตัดสินใจ.
    • ทฤษฎีการตัดสินใจที่มีความเสี่ยง (Decision under Uncertainty Theory): ทฤษฎีนี้เน้นการวิเคราะห์กระบวนการตัดสินใจเมื่อมีความไม่แน่นอนหรือเสี่ยง สามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่ไม่ทราบผลลัพธ์ที่แน่นอน โดยการใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์เช่นการคำนวณค่าคาดหมายและค่าความเสี่ยง.

ทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ

ทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ (Theory of Separation of Powers) เป็นหลักการสำคัญในระบบรัฐประชาธิปไตยที่ได้รับอิทธิพลมากจากนายกาเบล มอนเตสเกียอูรเก็นชี (Montesquieu) ซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของรัฐธรรมนูญของหลายประเทศ หลักการนี้มุ่งหวังในการแบ่งแยกอำนาจระหว่างสามส่วนหลักของรัฐ เพื่อป้องกันความมั่นคงและเพิ่มความเป็นธรรมในการปกครอง สามส่วนหลักดังกล่าวคือ:

    • อำนาจปกครอง (Legislative Power): เป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกฎหมาย รัฐสภาเป็นส่วนที่รับผิดชอบในการตัดสินใจและการกำหนดนโยบายต่าง ๆ สำหรับประชาชน การสร้างกฎหมายและการประชุมในรัฐสภาเป็นตัวอย่างของการใช้อำนาจปกครอง.
    • อำนาจกฎหมาย (Executive Power): เป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ องค์การบริหารรัฐ (รัฐบาล) รับผิดชอบในการนำนโยบายที่ถูกตัดสินใจในอำนาจปกครองมาปฏิบัติงานจริงในการบริหารประเทศ รวมถึงการควบคุมและดูแลการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในรัฐ.
    • อำนาจกฎหมาย (Judicial Power): เป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและกำหนดความตัดสินใจในการเรียกร้องและแก้ข้อพิพาทต่าง ๆ ในรัฐ ศาลและอำนวยความยุติธรรมเป็นตัวเป็นตัวกลางในการพิจารณาคดีและให้คำพิพากษา โดยไม่มีผู้มีอำนาจในส่วนอื่นแทรกแซง.

ทฤษฎีเกี่ยวกับความสมดุลของผลผลิต

ทฤษฎีเกี่ยวกับความสมดุลของผลผลิต (Theory of Production and Distribution) เป็นแนวทางในการศึกษาเรื่องการผลิตสินค้าและการแบ่งแยกระหว่างผลผลิต หรือความร่ำรวย ภายในสังคม ทฤษฎีนี้มุ่งสู่การเข้าใจและวิเคราะห์ว่าทรัพยากรและปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมถูกใช้ประโยชน์อย่างไรในกระบวนการผลิตสินค้าและการแบ่งแยกระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ดังนั้น ทฤษฎีเน้นถึงปัจจัยเศรษฐศาสตร์และการตัดสินใจในกระบวนการผลิตและการกระจายผลผลิตในสังคม ทฤษฎีเกี่ยวกับความสมดุลของผลผลิตและการแบ่งแยกระหว่างผลผลิต สามารถสรุปถึงหลักการและความสัมพันธ์ดังนี้

ทฤษฎีเกี่ยวกับความสมดุลของผลผลิต
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสมดุลของผลผลิต
    1. ผลผลิต (Production): ทฤษฎีนี้หากลุ่มปัจจัยผลผลิตเช่นแรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และปัจจัยผลิตอื่น ๆ มีการนำมารวมกันในกระบวนการผลิต จะสร้างผลผลิตหรือสินค้าที่มีค่าเพิ่มมากขึ้น
    2. แรงงาน (Labor): การใช้แรงงานเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในกระบวนการผลิต แรงงานจะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงค่าแรงและค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้แก่แรงงาน
    3. ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources): ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการผลิต อาจเป็นวัตถุดิบหรือพลังงานที่ใช้ในการผลิตสินค้า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติมีผลต่อความสมดุลของผลผลิตและการกระจายผลผลิต
    4. ความแบ่งแยก (Distribution): ทฤษฎีนี้พิจารณาถึงวิธีการแบ่งแยกระหว่างผลผลิตในสังคม การแบ่งแยกนี้สามารถเกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ค่าแรงงานที่ได้รับ ผลผลิตที่ได้รับ หรือรายได้ที่ผู้บริโภคได้รับ
    5. การตลาด (Market): ทฤษฎีนี้สนใจถึงการจัดการตลาดและกระบวนการแลกเปลี่ยนสินค้า ปัจจัยต่าง ๆ เช่น ราคา ความต้องการ และความสามารถในการจ่ายราคา มีผลต่อการแบ่งแยกระหว่างผลผลิตและผู้บริโภคในตลาด

ทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่างรัฐและเอกชน

ทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่างรัฐและเอกชน (Theory of State and Market) เป็นหลักสำคัญในการศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง เน้นการวิเคราะห์และเข้าใจการแบ่งแยกระหว่างบทบาทของรัฐและบทบาทของเอกชนในเศรษฐกิจและการเมือง ทฤษฎีนี้เชื่อว่าความสมดุลระหว่างรัฐและเอกชนมีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของสังคม นี่คือภาพรวมของทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งแยกระหว่างรัฐและเอกชน:

    • บทบาทของรัฐ (Role of the State): ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของรัฐในการจัดการและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมือง เรื่องที่ถูกวิจัยคือ รัฐควรมีบทบาทในการสร้างสถานการณ์ที่เป็นสิริมงคลให้กับประชาชน ในบางกรณี รัฐอาจเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างพื้นที่สาธารณะ ในเวลาที่เอกชนไม่สามารถทำได้ เช่น การสร้างพื้นที่สาธารณะ เป็นต้น
    • บทบาทของเอกชน (Role of the Market): ทฤษฎีเน้นความสำคัญของการตลาดในการกำหนดราคาและการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เอกชนมีบทบาทในการผลิตสินค้าและบริการตามความต้องการของตลาด การแข่งขันในตลาดส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจมีความคล่องตัวและสามารถปรับตัวตามเป้าหมายของตลาดได้
    • สมดุลระหว่างรัฐและเอกชน (Balance between State and Market): ทฤษฎีเน้นความสำคัญของการเป็นสมดุลระหว่างบทบาทของรัฐและเอกชน รัฐควรมีบทบาทในการกำหนดนโยบายที่สร้างกรอบและเกณฑ์ในการดำเนินกิจการเศรษฐกิจ ในขณะที่เอกชนควรได้รับอิสระในการประกอบธุรกิจ และสร้างความสร้างสรรค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
    • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม (Impact on Economy and Society): ทฤษฎีเน้นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและสังคมเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของรัฐและเอกชน การเพิ่มความเข้มแข็งของรัฐอาจส่งผลให้มีการควบคุมมากขึ้นแต่ก็อาจสร้างความเครียดในการปฏิบัติธรรมและความคล่องตัวในการเพิ่มความสัมพันธ์กับรัฐ

ทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ

ทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ(Economic Policy Theory) เป็นกรอบแนวคิดที่วิเคราะห์และกำหนดแนวทางในการจัดการและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งผลให้เกิดผลกระทบที่เป้าหมายแก่เศรษฐกิจที่กว้างขึ้น มันเน้นที่การเลือกคำตัดสินใจเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในตอนปัจจุบันและอนาคต ทฤษฎีเหล่านี้รวมถึง

ทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ
ทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ
    1. นโยบายเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ (Ad Hoc Economic Policy): นี้เป็นการดำเนินนโยบายที่เป็นผลมาจากการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลา เช่น การปรับนโยบายเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ การปรับเพิ่มเงินทองเพื่อแก้ไขปัญหาเงินสั้น ๆ ระยะ.
    2. นโยบายเศรษฐกิจแบบคงที่ (Fixed Economic Policy): ทฤษฎีนี้เน้นการคงตัวในการประยุกต์ใช้นโยบายเศรษฐกิจในระยะยาว โดยการใช้กฎหมายหรือนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อกำหนดกรอบการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจและการลงทุน.
    3. นโยบายเศรษฐกิจแบบมุ่งเป้าหมาย (Targeted Economic Policy): ระบบนี้ใช้นโยบายเศรษฐกิจเพื่อเรียนรู้และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เฉพาะเจาะจง เช่น การลดอัตราการว่างงาน การเพิ่มการลงทุนในวิจัยและพัฒนา หรือการส่งเสริมการอุดมการณ์ในด้านเศรษฐกิจ.
    4. นโยบายเศรษฐกิจแบบควบคุม (Controlled Economic Policy): ทฤษฎีนี้เน้นการควบคุมและกำหนดรายละเอียดเฉพาะของเศรษฐกิจ เพื่อให้รัฐมีบทบาทในการส่งเสริมและควบคุมส่วนใหญ่ของการผลิตและการจำหน่าย.
    5. นโยบายเศรษฐกิจแบบการกระทำ (Action-Oriented Economic Policy): ทฤษฎีนี้เน้นการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการกระทำที่ต้องการให้เกิดขึ้น เช่น การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อสร้างงานและเติบโตเศรษฐกิจในพื้นที่.