ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงิน คืออะไร
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินเป็นการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับการตัดสินใจทางการเงินและการบริหารจัดการทรัพยากรการเงินของบุคคล องค์กร หรือรัฐบาล ในปัจจุบัน ทฤษฎีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจและควบคุมกระบวนการเศรษฐกิจในมิติทางการเงิน เช่น การเลือกตัดสินใจการลงทุน การจัดการหนี้สิน การวางแผนการเงินส่วนบุคคล และกระบวนการเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกขององค์กรหรือประเทศต่างๆ
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินเป็นการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับกระบวนการทางการเงินในเศรษฐกิจ ทฤษฎีเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะช่วยให้เราเข้าใจและการบริหารจัดการทรัพยากรการเงินในบริบทต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยการตัดสินใจทางการเงินที่มีผลต่อบุคคล องค์กร และรัฐบาล โดยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจและการบริหารจัดการกระบวนการทางการเงินในทุกแง่มุมของเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการตัดสินใจทางการเงินอย่างมีเหตุผลและอย่างมีความเสถียร
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงิน มีอะไรบ้าง
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินเป็นสาขาหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ที่วิจัยและวิเคราะห์เกี่ยวกับกระบวนการทางการเงินในเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยหลายทฤษฎีและแนวคิดสำคัญ ดังนี้
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินคลาสสิก
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินคลาสสิก(Classical Monetary Theory) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของเงินและอัตราดอกเบี้ยในกระบวนการเศรษฐกิจ มันเริ่มก่อตั้งในปฏิกิริยาต่อความรุนแรงของการประมาณการตลาดที่เป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่างเช่น แดวิด ริการ์โด และจอห์น สตูอาร์ตมิลล์เป็นผู้สนับสนุนหลักของทฤษฎีนี้ หลักความเชื่อของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินคลาสสิก ได้แก่
-
- หลักทอร์ตาลล์โอเลอร์ (Quantity Theory of Money): หลักนี้เน้นว่าปริมาณเงินในระบบมีผลต่อระดับราคา คือ เมื่อปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ระดับราคาจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และนับครั้งเป็นตรงกันข้าม ถ้าปริมาณเงินลดลง ระดับราคาก็จะลดลงด้วย ซึ่งสรุปได้ในสมการสำคัญว่า MV = PY โดยที่ M คือปริมาณเงิน V คืออัตราการหมุนเวียนของเงิน P คือราคาในระบบ และ Y คือผลิตภาพมวลรวมในเศรษฐกิจ
- หลักเฮล็อค (Say’s Law): หลักนี้เน้นว่าการผลิตสินค้าและบริการจะสร้างรายได้และเงินมาเป็นช่องว่างโดยอัตโนมัติ ดังนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขาดทุนทางเศรษฐกิจ (Economic Depression) เพราะเมื่อผลิตมากขึ้น รายได้ก็จะมากขึ้น ทำให้ไม่มีการบันทึกรายได้เป็นเงินออกไป
- การปรับตัวของระบบทางการเงิน (Adjustment of the Monetary System): ทฤษฎีเหล่านี้เชื่อว่าระบบทางการเงินมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้สมดุลในระยะยาว ถ้าระบบเงินมีความไม่สมดุล การปรับตัวจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
- ความสำคัญของอัตราดอกเบี้ย (Importance of Interest Rate): ทฤษฎีเหล่านี้เน้นความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยในการกำหนดพฤติกรรมการเลือกตัดสินใจทางการเงินของบุคคลและองค์กร อัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อการเงินซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการกำหนดการลงทุน การออมเงิน และค่าใช้จ่ายในระยะยาว.
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินของคีย์นีเซียน
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินของคีย์นีเซียน (Keynesian Monetary Theory) แนวคิดสำคัญในสาขาเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกลางนายเฮียน์ เจมส์ คีย์นีเซียน (John Maynard Keynes) การทำงาน 20 ซึ่งมีความสำคัญในการอธิบายและ การแก้ไขปัญหาของการไม่มีงานทำระบบวิจารณ์วิจารณ์ในช่วงภาวะวิกฤติภาคของความสมดุลและระบบควบคุมแห่งเงินในช่วงภาวะว่างงานสูงในภาวะความเป็นผู้นำสามารถอธิบายได้อย่างมีทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินที่เน้นย้ำที่ความเป็นผู้นำของผู้นำผู้นำ… และหลักคิดนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเงินของคีย์นีเซียนได้แก่
-
- ภาวะไม่มีงานทำตามปกติ (Underemployment and Stagnation) : คีย์นีเซียนเน้นในการควบคุมงานและประธานในเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดสถานการณ์ที่มีผู้ว่างงานตามลำดับที่ลดลง จะสามารถเจริญเติบโตได้ในภาวะภาวะไม่มีงานทำ
- ผู้นำการเงินและการควบคุมเงินคีย์นีเซียนเน้นว่าการควบคุมดูแลและการลงทุน ซื้อปริมาณเงินการควบคุมทิศทางและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพส่งผลให้ฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้น
- อัตราการเงินและการลงทุนคีย์นีเซียนเน้นว่าการลงทุนขึ้นอยู่กับความต้องการการลงทุนในปริมาณมาก
- สิ่งสำคัญของงาน (Importance of Job Creation) : คีย์นีเซียนเน้นว่าการสร้างงานเป็นปัจจัยที่สำคัญในรายรับและบุคคลนั้นเองในสังคม…
- การผ่านสภาของรัฐ (Fiscal Policy) : คีย์นีเซียนเสนอให้รัฐบาลดำเนินการในเศรษฐกิจผ่านการตรวจสอบและการดำเนินการในการลงทุนของแต่ละบุคคลและบริษัท
- ความไม่แน่นอน (Uncertainty) : คีย์นีเซียนเน้นถึงประเด็นที่ชัดเจนในการร้องขอส่วนบุคคลและองค์กร
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินสำหรับผู้บริหาร
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินสำหรับผู้บริหารระดับสูง(เศรษฐศาสตร์การเงินเพื่อผู้บริหาร) แนวคิดที่รวบรวมระบบการจัดการและเครื่องมือในผู้บริหารและส่วนประกอบในระบบควบคุมโดยเน้นไปที่ความรู้ในวิทยาลัยการเงินในทางเลือก… การเงินอย่างมีประสิทธิภาพและ สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ
-
- การควบคุมการลงทุน : ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินในการวิเคราะห์การลงทุนหมายถึงความสำคัญและการควบคุมการลงทุนในทรัพย์สินและโครงการต่าง ๆ
- ผู้บริหารการเงินส่วนบุคคล : ระบบควบคุมทฤษฎีการควบคุมการเงินเพื่อความเชื่อและการควบคุมส่วนบุคคล เช่น รายงานการออมเงินการควบคุมและการควบคุมการลงทุนส่วนบุคคล
- ตรวจสอบผู้ตัดสินใจการสืบสวน : ทฤษฎีทฤษฎีการเงินในบางครั้งบางกรณีเงินจำนวนมากเงื่อนไขของสินเชื่อที่เรียกร้องและค่าใช้จ่ายตรวจสอบทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่นานอีกครั้ง
- หลักการพอร์ตการลงทุน : ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินในการควบคุมและจัดการพอร์ตการลงทุนเพื่อให้เป็นไปตามระดับสูงสุดที่ยอมรับได้
- ผู้บริหารการเงินและกลุ่มเป้าหมายการเงิน : ผู้บริหารทฤษฎีผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินโดยตรงในกลุ่มเป้าหมายการเงิน ผู้บริหารตรวจสอบการออมเงินการลงทุนและการจัดการรายจ่ายให้นักลงทุน
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินดิจิทัล
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินดิจิทัล(ทฤษฎีการเงินดิจิทัล) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจและวิเคราะห์ประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัลและการวิจัยออนไลน์ต่อเศรษฐกิจโดยเน้นการเงินและแพลตฟอร์มผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่การเปลี่ยนแปลงในตัวอย่างต่างๆ การเงินมี ความสำคัญและความสำคัญในทฤษฎีนี้:
-
- การเปลี่ยนแปลงในการเงิน : ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินดิจิทัลและข้อมูลในการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงิน สบายและเริ่มต้นทางเงินแบบทั่วไป
- การเปลี่ยนแปลงนี้ในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการเงิน : ทฤษฎีย้ำถึงขอข้อมูลในการแจ้งเตือนการเงินในรูปแบบดิจิทัลและความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความน่าเชื่อถือถือการเงินดิจิทัล
- ผลกระทบต่อความคิดเห็นระหว่างเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น : การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในเชิงเศรษฐกิจดิจิทัลและต่อเนื่องส่งผลถึงประเด็นทางการเงินและต่อเนื่องกันระหว่างบุคคลและธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อ… อีกหนึ่งในเชิงเศรษฐกิจและเป็นกลาง
- การพิจารณาความเข้าใจในวันพรุ่งนี้ : องค์ประกอบที่สะท้อนของการเงินผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทฤษฎีจะวิเคราะห์และเข้าใจผู้บริหารของบุคคลและองค์กรอาจจะต่อผู้บริหารและทรัพยากรทางการเงิน
- นวัตกรรมและนวัตกรรม : ทฤษฎีนี้ทำให้เกิดนวัตกรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์ระบบในแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นต้น
ทฤษฎีแบบคานเฟิล (Capital Structure Theory)
ทฤษฎีแบบคานเฟิล (Pecking Order Theory) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้างทุนทรัพย์ของบริษัท โดยการจัดวางความสำคัญของการใช้หนี้และทุนเงินสด หรือการระดมทุนทางการเงิน โดยมีหลักการเบื้องต้นดังนี
-
- ความประหยัดในค่าใช้จ่าย (Cost of Financial Distress): ทฤษฎีคานเฟิลเน้นความสำคัญของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการล้มเหลวทางการเงิน (financial distress) หากบริษัทใช้หนี้มากเกินไป การล้มเหลวในการชำระหนี้หรือเข้าสู่สถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบากอาจจะส่งผลให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าธรรมเนียมของทนายความ ค่าใช้จ่ายในการเจรจาเพื่อเรียกคืนหนี้ และค่าใช้จ่ายในกระบวนการตรวจสอบการเงินสนับสนุน.
- ความตั้งใจที่เป็นมือใหม่ (Asymmetric Information): ทฤษฎีคานเฟิลเชื่อว่าบริษัทมีข้อมูลที่มากกว่าตลาดเงิน นั่นคือ บริษัทรู้ถึงสถานการณ์ทางการเงินและโอกาสการลงทุนของตนมากกว่านักลงทุน การใช้หนี้เพื่อระดมทุนอาจส่งสัญญาณไปว่าบริษัทเชื่อมั่นในโอกาสทางธุรกิจของตน และมีความเสี่ยงทางการเงินที่น้อย.
- ความสะดวกในการระดมทุนเงินสด (Cost of Issuing Securities): การระดมทุนเงินสดผ่านการออกหุ้นหรือหลักทรัพย์แบบต่างๆ มีค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการออกหุ้น ค่าความเสี่ยงในการจัดทุน และเวลาที่ใช้ในกระบวนการระดมทุน.
ตัวอย่าง ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงิน
ทฤษฎีสมดุลของอัตราดอกเบี้ย
ตัวอย่างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินที่น่าสนใจคือ “ทฤษฎีสมดุลของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Parity Theory)” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศต่างๆ ที่มีผลต่อการลงทุนระหว่างประเทศ.ทฤษฎีนี้มีสองรุ่นหลักๆ ได้แก่
-
- Covered Interest Rate Parity (CIP): ทฤษฎีนี้กล่าวว่าหากมีการลงทุนในตลาดเงินตราและตลาดเงินที่อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้ถูกประยุกต์ใช้เท่ากันระหว่างประเทศ แล้วผู้ลงทุนสามารถใช้การจัดหาและการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศเพื่อทำกำไรจากความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและอัตราดอกเบี้ย ทฤษฎีนี้แตกต่างจากทฤษฎีอื่นๆ โดยการพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์แลกเปลี่ยนที่ป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน.
- Uncovered Interest Rate Parity (UIP): ทฤษฎีนี้กล่าวว่าผู้ลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนในตลาดเงินตราที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า โดยไม่ต้องป้องกันความเสี่ยงแบบใน CIP คือการหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและอัตราดอกเบี้ย.
ทฤษฎี Efficient Market Hypothesis
ตัวอย่างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินที่น่าสนใจคือ “ทฤษฎีมัจฉาการการเลือกหุ้น (Efficient Market Hypothesis, EMH)” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาความเชื่อของตลาดทุนว่ามีการปรับราคาและการแสวงหาข้อมูลในตลาดเพื่อให้ราคาหลักทรัพย์สะท้อนความคาดหวังทั้งหมดของนักลงทุนแล้ว ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ที่สอดคล้องกับทฤษฎีนี้เป็นหลักฐานในการสนับสนุน.ทฤษฎี EMH มีสามระดับหลักๆ ได้แก่
-
- ระดับกลาง (Weak Form): ตลาดทุนถือว่ามีระดับกลางตาม EMH ระดับกลางหมายถึงตลาดที่ราคาหลักทรัพย์ถูกปรับเปลี่ยนไปตามข่าวสารและข้อมูลทางการเงินที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ลงทุนไม่สามารถสร้างกำไรจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่เปิดเผยแล้ว.
- ระดับกลาง (Semi-Strong Form): ตลาดทุนถือว่ามีระดับกลางตาม EMH ระดับกลางหมายถึงตลาดที่ราคาหลักทรัพย์สะท้อนข้อมูลทางการเงินทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการเงินหรือข่าวสารทั่วไป เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ได้รับการเผยแพร่และเข้าถึงโดยสาธารณะ.
- ระดับแข็ง (Strong Form): ตลาดทุนถือว่ามีระดับแข็งตาม EMH ระดับแข็งหมายถึงตลาดที่ราคาหลักทรัพย์สะท้อนข้อมูลทางการเงินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการเงินหรือข่าวสารทั่วไป รวมถึงข้อมูลที่ไม่เปิดเผยให้กับผู้ลงทุนทั่วไป.
ทฤษฎีโครงสร้างทุนทรัพย์
ทฤษฎี Capital Structure Theory (ทฤษฎีโครงสร้างทุนทรัพย์) เกี่ยวข้องกับวิธีที่บริษัทเลือกที่จะได้มาและใช้ทุนทรัพย์ในการเงินของตน รวมถึงการตัดสินใจว่าจะใช้หนี้หรือทุนเงินสดในการทำการลงทุน หรือการเงินต่าง ๆ ของบริษัท คำถามหลักในทฤษฎีนี้คือว่าจะมีการบริหารทุนทรัพย์อย่างไรเพื่อให้บริษัทมีความสมดุลระหว่างการใช้หนี้และทุนเงินสด และส่งผลให้บริษัทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนในการลงทุนตามมา.ทฤษฎีนี้แบ่งออกเป็นหลายๆ แนวคิดย่อย เช่น
-
- หลักการของ Pecking Order Theory: ทฤษฎีนี้กล่าวว่าบริษัทมักจะเลือกทางแบบหนี้ก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขอกู้น้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการเจรจาในการระดมทุนเงินสดผ่านการออกหุ้น.
- หลักการของ Trade-Off Theory: ทฤษฎีนี้เน้นถึงความสมดุลระหว่างความประสงค์ในการลดความเสี่ยงทางการเงินด้วยการใช้หนี้และความประสงค์ในการลดค่าใช้จ่ายโดยใช้ทุนเงินสด การตัดสินใจแบบนี้เกิดขึ้นจากการชดเชยระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง.
- หลักการของ Modigliani and Miller (MM) Theorem: ทฤษฎีนี้กล่าวว่าค่าของบริษัทไม่ขึ้นกับโครงสร้างทุนทรัพย์ ดังนั้นการใช้หนี้หรือทุนเงินสดไม่มีผลต่อมูลค่าของบริษัทในทางทฤษฎี.
เศรษฐศาสตร์การเงินทำงานอย่างไร
- การวิเคราะห์การตัดสินใจทางการเงิน: เศรษฐศาสตร์การเงินช่วยในการวิเคราะห์และเข้าใจกระบวนการตัดสินใจทางการเงินของบุคคลและองค์กร โดยพิจารณาปัจจัยทางการเงินต่างๆ ที่มีผลต่อการเลือกทำรายการการเงิน เช่น การลงทุน การออม การกู้ยืม เป็นต้น.
- การวิเคราะห์ตลาดการเงิน: เศรษฐศาสตร์การเงินสำรวจและวิเคราะห์ทั้งตลาดทางเงินและตลาดทุน เพื่อเข้าใจแนวโน้มและปัจจัยที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ย ราคาหลักทรัพย์ และตลาดเงินทั้งหมด.
- การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน: เศรษฐศาสตร์การเงินช่วยในการประเมินและการจัดการความเสี่ยงทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดความเสี่ยงและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น.
- การวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ: เศรษฐศาสตร์การเงินสำรวจและวิเคราะห์แนวโน้มทางเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลให้เกิดผลกระทบทางการเงิน และส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคลและองค์กร.
- การวิเคราะห์นโยบายการเงินและการเศรษฐกิจ: เศรษฐศาสตร์การเงินมีบทบาทในการวิเคราะห์นโยบายการเงินที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางกำหนด เช่น อัตราดอกเบี้ย นโยบายการสั่งซื้อหลักทรัพย์ เป็นต้น และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ.
- การวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีการเงิน: เศรษฐศาสตร์การเงินดิจิทัลเน้นการวิเคราะห์และเข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินและการทำธุรกรรมทางการเงิน.
แนวคิดพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์การเงิน
แนวคิดพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์การเงินเกี่ยวข้องกับการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับกระบวนการการเงินและการเห็นค่าในทางการเศรษฐกิจ นี่คือแนวคิดหลักๆ ในเศรษฐศาสตร์การเงิน:
- เวลามูลค่าเงิน (Time Value of Money): แนวคิดนี้กล่าวว่าเงินในอนาคตมีมูลค่าน้อยกว่าเงินในปัจจุบัน เนื่องจากเงินในปัจจุบันสามารถนำไปลงทุนและสร้างรายได้เสริมได้ เรื่องของดอกเบี้ยและเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญในแนวคิดนี้.
- การหาผลตอบแทนในการลงทุน (Return on Investment): แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ผลตอบแทนที่มาจากการลงทุนในทรัพย์สินหรือโครงการต่าง ๆ ผลตอบแทนสามารถเกิดจากดอกเบี้ย กำไร หรือการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน.
- การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment): แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการดำเนินกิจกรรมทางการเงิน การวัดและการจัดการความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจทางการเงิน.
- การจัดการทรัพยากรการเงิน (Financial Resource Management): แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการบริหารจัดการทรัพยากรการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ตามเป้าหมายทางการเงิน.
- การจัดการหนี้และทุนทรัพย์ (Debt and Equity Management): แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้หนี้หรือทุนทรัพย์ในการระดมทุนและการดำเนินกิจกรรมทางการเงิน การระดมหนี้และออกหุ้นมีผลต่อโครงสร้างทุนทรัพย์และการจัดการความเสี่ยง.
- การประเมินมูลค่า (Valuation): แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ หลักทรัพย์ หรือบริษัท ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการตัดสินใจทางการเงิน.