ทฤษฎีปริมาณเงินของ fisher คืออะไร fisher effect คืออะไร สูตร และจงอธิบายและยกตัวอย่าง

ทฤษฎีปริมาณเงินของ fisher คืออะไร

ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบราคาและปริมาณของเงินในระบบเศรษฐกิจ ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อว่าเอิร์วิง ฟิชเชอร์ (Irving Fisher) ในปี 1911 โดยเน้นให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและราคาของสินค้าและบริการในตลาด เป็นแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์และอธิบายเหตุผลของการเฟ้อราคาและการเปลี่ยนแปลงของเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศและโลก

ทฤษฎีนี้ได้รับความสนใจและมีความนิยมสูงในการวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับอินเฟเคชั่นในเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในการอธิบายสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงราคาและปริมาณเงินในตลาด ทฤษฎีนี้เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการให้ความเข้าใจและวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินในเศรษฐกิจ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเศรษฐศาสตร์และสาธารณัญญาณทางเศรษฐกิจอื่นๆ ยังมีปัจจัยและเหตุผลอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาและเงินเฟ้อในเศรษฐกิจอีกมากมาย

ความสำคัญของทฤษฎีปริมาณเงิน Fisher

ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นหนึ่งในทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่มีความสำคัญมากในการเข้าใจและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ที่มีความสนใจในเศรษฐศาสตร์เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเงินและราคา และมีประโยชน์ในการวางแผนการเงิน การลงทุน และการประเมินผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจด้านความสำคัญได้แก่

ความสัมพันธ์ระหว่างเงินและราคา

ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ช่วยให้เข้าใจว่าเงินและราคามีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยการวิเคราะห์ว่าการเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบจะส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงอย่างไร นั่นทำให้บริบทของการเกิดเหตุการณ์เช่นเงินเฟ้อหรือการเผื่อแผ่ราคาของสินค้ากับเงินที่มีในระบบเศรษฐกิจเป็นที่เข้าใจมากขึ้นความสัมพันธ์นี้ในรูปแบบของทฤษฎีและตัวอย่าง:

    • เมื่อปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น และคงที่กำลังการผลิตและความต้องการสินค้าและบริการ อาจเกิดการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการ (inflation) เนื่องจากผู้ซื้อมีเงินมากขึ้นแต่จำนวนสินค้าและบริการไม่เพิ่มขึ้น
    • อย่างไรก็ตาม หากปริมาณเงินลดลง และคงที่กำลังการผลิตและความต้องการสินค้าและบริการ อาจเกิดการลดลงของราคาสินค้าและบริการ (deflation) เนื่องจากผู้ซื้อมีเงินน้อยลงแต่จำนวนสินค้าและบริการไม่เปลี่ยนแปลง

ตัวอย่าง:

    • สมมติว่าในระบบเศรษฐกิจมีเงินรวม 1,000,000 บาท และจำนวนสินค้าและบริการที่มีอยู่ก็คงที่ ถ้าปริมาณเงินเพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 บาท แต่จำนวนสินค้าและบริการไม่เปลี่ยนแปลง นั่นอาจเป็นเหตุผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อมีเงินมากขึ้นแต่จำนวนสินค้าและบริการเหมือนเดิม
    • ถ้าปริมาณเงินลดลงเป็น 800,000 บาท แต่จำนวนสินค้าและบริการไม่เปลี่ยนแปลง นั่นอาจเป็นเหตุผลให้ราคาสินค้าและบริการลดลง เนื่องจากผู้ซื้อมีเงินน้อยลงแต่จำนวนสินค้าและบริการเหมือนเดิม

การวิเคราะห์อินเฟเคต์

การวิเคราะห์อินเฟเคต์ (Interest Rate Analysis) เป็นกระบวนการที่นักเศรษฐศาสตร์และผู้ลงทุนใช้เพื่อวิเคราะห์และทำคาดเดาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การวิเคราะห์นี้มีหลายแง่มุมและวิธีที่ใช้ในการประเมินผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ต่ออัตราดอกเบี้ย ด้วยการใช้หลัก Fisher Effect ผู้วิเคราะห์สามารถทำคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยจริงที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจการลงทุนและวางแผนการเงินในระยะยาว นี่คือขั้นตอนการวิเคราะห์อินเฟเคต์:

การวิเคราะห์อินเฟเคต์
การวิเคราะห์อินเฟเคต์
    • สำรวจอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน: เริ่มต้นด้วยการสำรวจและบันทึกอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันในตลาดทางการเงิน ซึ่งสามารถหาได้จากธนาคารหรือแหล่งข้อมูลการเงินอื่นๆ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์
    • คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ: สำรวจข้อมูลเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น อัตราการเงินเฟ้อในอดีต แนวโน้มของราคาพลังงานและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ และประเทศไปยังเป้าหมายในอนาคต เพื่อคาดเดาอัตราการเงินเฟ้อในอนาคต
    • ประเมินผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อ: ใช้หลัก Fisher Effect เพื่อประเมินผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อต่ออัตราดอกเบี้ยจริง ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อจะช่วยให้คาดเดาว่าการเงินเฟ้อจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงอย่างไร

การวางแผนการเงินและการลงทุน

Fisher Effect เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถวางแผนการเงินและการลงทุนในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ แนวคิดนี้ช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากที่สุดการวางแผนการเงินและการลงทุนเป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการเงินของบุคคล โดยใช้ข้อมูลและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้สามารถทำเลือกตัดสินใจที่เป็นมิตรกับเป้าหมายการเงินของตนเองได้ดียิ่งขึ้น นี่คือขั้นตอนในการวางแผนการเงินและการลงทุน:

    • กำหนดเป้าหมายการเงิน: วางเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน เช่น การออมเงินเพื่อเป้าหมายที่กำหนดไว้ การลดหนี้ การลงทุนในความเป็นเจ้าของบ้าน หรือการเตรียมเงินเพื่อการเกษียณ
    • ทราบรายได้และรายจ่าย: ทราบรายได้ตลอดเวลาและความจำเป็นในการใช้จ่าย เพื่อทราบว่าเงินเข้ากับเงินออกมีความสอดคล้องกันหรือไม่
    • วางแผนงบประมาณ: จัดทำงบประมาณที่ชัดเจน รวมถึงรายได้ รายจ่าย และเงินที่เหลือ และสามารถปรับแก้ไขตามเหตุการณ์ต่างๆ ได้
    • การลงทุน: วางแผนการลงทุนให้เข้ากับเป้าหมายการเงิน เลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม เช่น การลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวม
    • การควบคุมหนี้: พิจารณาว่าการยืมเงินหรือการใช้บัตรเครดิตนั้นเป็นประโยชน์หรือเป็นภาระ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดหนี้ที่สูงเกินไป
    • การจัดเตรียมเงินเพื่อการเกษียณ: วางแผนเกี่ยวกับเงินเพื่อการเกษียณโดยหากำไรหรือเงินสะสมให้เหมาะสมกับวัยเกษียณ

การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ

การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ

ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมการเงินเฟ้อ นำเอาทฤษฎีนี้มาประกอบการตัดสินใจเพื่อที่จะรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ต่างก็ทำเพื่อให้เข้าใจผลกระทบและผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ตัดสินใจขึ้นมา นี่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงการปรับปรุงและการแก้ไขนโยบายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

การเข้าใจเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจ

ทฤษฎี Fisher ช่วยให้เข้าใจเหตุผลที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงราคาและการเงินในเศรษฐกิจ ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของวิถีชีวิตเศรษฐกิจและการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ การเข้าใจเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์และทำคาดการณ์เกี่ยวกับการเกิดเหตุการณ์และพฤติกรรมในเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อราคาสินค้าและบริการ อัตราดอกเบี้ย การลงทุน และอื่นๆ การเข้าใจเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจช่วยให้เราทำการวางแผนและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ

fisher effect คืออะไร

Fisher Effect หรือ “ผลกระทบของ Fisher” เป็นหลักการในเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในระบบเงินของประเทศ หลักการนี้ได้รับชื่อจากนักเศรษฐศาสตร์ชื่ออิรวิ่ง ฟิชเชอร์ (Irving Fisher) ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้เสนอแนวคิดนี้ในปี 1930 โดยหลักการ Fisher Effect บอกว่า อัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate) ของเงินจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินเฟ้อ (inflation rate) อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยจริงจะปรับตามการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยแบบที่มีเฟ้อไป กล่าวคือ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยจริงจะเพิ่มขึ้นเพื่อความสมดุล และถ้าอัตราเงินเฟ้อลดลง อัตราดอกเบี้ยจริงก็จะลดลงเพื่อความสมดุลด้วย

fisher effect คืออะไร
fisher effect คืออะไร

สรุปในแง่ของการเงินและการลงทุน:

  • ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ค่าเงินที่มาในอนาคตจะลดลง เพราะซื้อสินค้าและบริการน้อยลงเนื่องจากค่าเงินลดลง และผู้ลงทุนจะต้องการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในระหว่างเวลาเพื่อที่จะแก้ไขความเสี่ยงที่เกิดจากการเงินเฟ้อ
  • ถ้าอัตราเงินเฟ้อลดลง ค่าเงินที่มาในอนาคตจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นเนื่องจากค่าเงินเพิ่มขึ้น และผู้ลงทุนจะยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าจากการลงทุนในระหว่างเวลา เนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเงินเฟ้อลดลง

สูตร fisher effect

สูตร Fisher Effect อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate), อัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ (nominal interest rate), และอัตราเงินเฟ้อ (inflation rate) ดังนี้:

อัตราดอกเบี้ยจริง = อัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ – อัตราเงินเฟ้อ

หรือในรูปของสูตร:

r = i – π

เมื่อ:

    • r คือ อัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate)
    • i คือ อัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ (nominal interest rate)
    • π คือ อัตราเงินเฟ้อ (inflation rate)

สูตรนี้แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยจริงเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละลบอัตราเงินเฟ้อ แนวคิดหลักข behind อาจารย์ Fisher Effect คือว่า ผู้ลงทุนจะต้องการรับคืนผลตอบแทนจริงของการลงทุนที่เสนอมา เช่น ผลตอบแทนจริงหลังจากคิดหักต้นทุน ดังนั้น ค่าเงินที่ได้รับต้องตรงกับการเพิ่มขึ้นของราคาในระบบเศรษฐกิจ (อัตราเงินเฟ้อ) ด้วย

ตัวอย่าง fisher effect

เพื่อให้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ Fisher Effect นี่คือตัวอย่างการประยุกต์ใช้หลักการนี้:

ตัวอย่างที่ 1

สมมติว่าคุณมีสินทรัพย์เงินฝากในธนาคารเป็นจำนวน 1,000,000 บาท และคุณพบว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเสนอให้คือ 5% ต่อปี ในระหว่างเวลาเดือนหนึ่งคุณต้องการที่จะใช้ส่วนหนึ่งของเงินดังกล่าวไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นรายปี อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้คือ 3% ต่อปี

    • ตามหลัก Fisher Effect อัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate) คือผลตอบแทนจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุน โดยลบอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 5:

r = i – π

r = 5% – 3%

r = 2%

ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์คือ 2% ต่อปี นี่หมายความว่า คุณจะได้รับผลตอบแทนจริงและเพิ่มมูลค่าของเงินที่ลงทุนเข้าไปในตลาด 2% ต่อปี โดยพิจารณาถึงการเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

    • หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เช่น ถ้าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 4% ต่อปี ตามหลัก Fisher Effect อัตราดอกเบี้ยจริงจะลดลง:

r = i – π

r = 5% – 4%

r = 1%

ในที่นี้ อัตราดอกเบี้ยจริงจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะน้อยลง เนื่องจากต้องหักอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ย

ตัวอย่างที่ 2

สมมติว่าคุณมีสินทรัพย์เงินฝากในธนาคารเป็นจำนวน 500,000 บาท และธนาคารเสนออัตราดอกเบี้ยที่ 8% ต่อปี ในเวลาเดือนหนึ่งคุณต้องการลงทุนส่วนหนึ่งในหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นรายปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้คือ 3% ต่อปี

ตัวอย่าง fisher effect
ตัวอย่าง fisher effect
    • ตามหลัก Fisher Effect อัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate) คือผลตอบแทนจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุน โดยลบอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 8:

r = i – π

r = 8% – 3%

r = 5%

ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในหุ้นบริษัทคือ 5% ต่อปี นี่หมายความว่า คุณจะได้รับผลตอบแทนจริงและเพิ่มมูลค่าของเงินที่ลงทุนเข้าไปในหุ้นบริษัท 5% ต่อปี โดยพิจารณาถึงการเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

    • หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เช่น ถ้าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 4% ต่อปี ตามหลัก Fisher Effect อัตราดอกเบี้ยจริงจะลดลง:

r = i – π

r = 8% – 4%

r = 4%

ในที่นี้ อัตราดอกเบี้ยจริงจะลดลงเหลือ 4% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนจริงที่คุณจะได้รับจากการลงทุนในหุ้นบริษัทจะน้อยลง เนื่องจากต้องหักอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ย