ทฤษฎีการเงินของเคนส์
ทฤษฎีการเงินของเคนส์ (Keynesian Economics) เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ถูกพัฒนาโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวบริติช ชื่อว่าจอห์นเมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทฤษฎีนี้ได้มีผลกระทบใหญ่ต่อการทรงตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองและยังมีผลกระทบต่อการทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ถูกพัฒนาต่อมาในอนาคตด้วยเป็นกรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เน้นให้ความสำคัญกับบทบาทของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นใช้จ่าย
ทฤษฎีการเงินของเคนส์ยังเน้นการเพิ่มรายได้ให้แก่กลุ่มคนที่ยากจนและธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการบริโภคและการลงทุนในตลาด และการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานเป็นหนึ่งในผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายการใช้จ่ายของรัฐบาลนี้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐบาลลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง สะพาน ระบบรถไฟฟ้า จะส่งผลให้มีงานที่เพิ่มขึ้น และสร้างโอกาสให้กับประชาชนในการทำงาน ซึ่งจะช่วยลดอัตราการว่างงานในสังคมและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในระยะยาว โดยหลักการหลักของทฤษฎีนี้เน้นไปที่การใช้เงินของรัฐบาลในการสร้างงานและส่งเสริมการใช้จ่ายของบุคคลเพื่อสร้างความเจริญพันธุ์ในเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในระดับทั้งรัฐและประชาชนจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างความเจริญพันธุ์ในระยะยาว
แนวคิดของเคนส์ คืออะไร
แนวคิดของเคนส์ (John Maynard Keynes) เป็นการเน้นความสำคัญของบทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการเสียงทางเศรษฐศาสตร์ ความสำคัญที่สุดของแนวคิดนี้อยู่ในการรับรู้ถึงความไม่สมดุลในตลาดและสามารถทำให้เกิดวิกฤตในเศรษฐกิจได้ หลักการหลักของแนวคิดนี้ประกอบด้วย
การไม่สมดุลในตลาด
แนวคิดของเคนส์ (John Maynard Keynes) เป็นการเน้นความสำคัญของบทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการเสียงทางเศรษฐศาสตร์ ความสำคัญที่สุดของแนวคิดนี้อยู่ในการรับรู้ถึงความไม่สมดุลในตลาดและสามารถทำให้เกิดวิกฤตในเศรษฐกิจได้ เคนส์เห็นว่าตลาดไม่สามารถปรับตัวเองให้มีการจัดสรรทรัพยากรและงานได้อย่างเหมาะสมเสมอไป การไม่สมดุลเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นจากความไม่เพียงพอของภาระงานและการลดการใช้จ่ายในตลาด หลักการหลักของแนวคิดนี้ประกอบด้วย:
-
- การไม่สมดุลในตลาด: เคนส์เห็นว่าตลาดไม่สามารถปรับตัวเองให้มีการจัดสรรทรัพยากรและงานได้อย่างเหมาะสมเสมอไป การไม่สมดุลเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นจากความไม่เพียงพอของภาระงานและการลดการใช้จ่ายในตลาด
- บทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้น: เคนส์เน้นถึงการบทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจ เขาเสนอให้รัฐบาลเข้ามาใช้เครื่องมือการเงินเพื่อสนับสนุนในการลงทุน และการบริโภค ผ่านการเพิ่มการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ
- การเพิ่มรายได้และลดความไม่เสมอภาค: เคนส์เน้นการเพิ่มรายได้ในกลุ่มคนที่ยากจนและธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมการบริโภคและลงทุนในตลาด โดยการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานและลดความไม่เสมอภาคในเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงิน: เคนส์เน้นการใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมการลงทุนและการบริโภค ผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมสภาพเงินในเศรษฐกิจ
- การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาล: เคนส์เสนอให้รัฐบาลใช้เงินในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง สะพาน ระบบรถไฟฟ้า เพื่อสร้างงานและเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน
บทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้น
บทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญตามแนวคิดของเคนส์ มีความหมายในการใช้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตและลดผลกระทบทางลบในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแกร่ง โดยเคนส์เน้นถึงการบทบาทของรัฐบาลในการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจ เขาเสนอให้รัฐบาลเข้ามาใช้เครื่องมือการเงินเพื่อสนับสนุนในการลงทุน และการบริโภค ผ่านการเพิ่มการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ บทบาทเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน:
-
- นโยบายการเงิน: รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินที่ไหลเข้าออกในเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและบริโภค การลดอัตราดอกเบี้ยสามารถกระตุ้นการกู้ยืมและลดค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม เพื่อสนับสนุนการลงทุนของธุรกิจและบุคคล การเพิ่มปริมาณเงินที่ไหลเข้าออกในเศรษฐกิจอาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงินและสนับสนุนการใช้จ่ายในเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงินบริหารของรัฐบาล: รัฐบาลสามารถจัดการและควบคุมการเงินบริหารเพื่อสนับสนุนการกำหนดแผนงานและโครงการทางเศรษฐกิจ การเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการสายทางคมนาคม โครงการพัฒนาอุตสาหกรรม และโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น การลงทุนเหล่านี้ช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพและสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะยาว
- การเพิ่มรายได้ของประชาชนที่ต่ำกว่า: รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายที่สนับสนุนกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า และภาวะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก โดยการให้เงินช่วยเหลือ สวัสดิการ และโอกาสในการศึกษา ซึ่งส่งผลให้เพิ่มการบริโภคและช่วยเพิ่มกำลังในตลาดภายใน
- การลงทุนในอุตสาหกรรมวิจัยและนวัตกรรม: รัฐบาลสามารถสนับสนุนการพัฒนาด้านนวัตกรรมและวิจัยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพและความเจริญพันธุ์ของเศรษฐกิจ
- การให้ส่วนช่วยเหลือในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจ: รัฐบาลอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือธุรกิจและบุคคลในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การปรับเปลี่ยนนโยบายภาษี เป็นต้น เพื่อช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
การเพิ่มรายได้และลดความไม่เสมอภาค
การเพิ่มรายได้และลดความไม่เสมอภาคเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจและลดความไม่เสมอภาคในการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน เพื่อสร้างความสมดุลและความเจริญพันธุ์ในเศรษฐกิจ แนวคิดนี้มีหลักการหลักเหมือนกันกับแนวคิดของทฤษฎีการเงินของเคนส์ที่เน้นความสำคัญของการเพิ่มรายได้และความไม่เสมอภาคในเศรษฐกิจ เน้นการเพิ่มรายได้ในกลุ่มคนที่ยากจนและธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมการบริโภคและลงทุนในตลาด โดยการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานและลดความไม่เสมอภาคในเศรษฐกิจการเพิ่มรายได้และลดความไม่เสมอภาคสามารถทำได้ผ่านหลายวิธี
-
- นโยบายการศึกษาและสร้างความสามารถ: การเพิ่มรายได้ของกลุ่มคนที่ยากจนและลดความไม่เสมอภาคสามารถทำผ่านการส่งเสริมการศึกษาและการอบรมที่เป็นประโยชน์ การพัฒนาทักษะและความรู้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานที่มีรายได้สูงขึ้น และลดความไม่เสมอภาคระหว่างกลุ่มคน
- การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก: การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดและเพิ่มรายได้ของกลุ่มคนเหล่านี้ นอกจากนี้ เหตุการณ์เช่นการให้สินเชื่อและการให้ความรู้ในด้านธุรกิจก็สามารถช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเติบโตได้
- การเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน: นโยบายการสร้างงานและการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานสามารถลดอัตราการว่างงานและความไม่เสมอภาคในสังคมได้ การสร้างงานผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนในการทำงาน
- นโยบายสวัสดิการและการสนับสนุนสังคม: การให้สวัสดิการและการสนับสนุนสังคมแก่กลุ่มที่ต้องการ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และคนวัยรุ่น ช่วยลดความไม่เสมอภาคและเพิ่มโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- การสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดนานาชาติ: การสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดนานาชาติช่วยเพิ่มรายได้และการต้านความไม่เสมอภาค การส่งออกสินค้าและบริการที่มีคุณภาพอาจช่วยเพิ่มรายได้ของประเทศและชุมชน
นโยบายการเงิน
นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือการใช้เครื่องมือและมาตรการทางการเงินเพื่อควบคุมปริมาณเงินที่วงเงินและอัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจ เป้าหมายของนโยบายการเงินมักเป็นเพื่อสร้างความเสถียรในเศรษฐกิจ ควบคุมการเงินหมุนเวียน และมีผลในการส่งผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจและการควบคุมอินเฟเชียน (Inflation) และผลกระทบอื่น ๆ ในเศรษฐกิจของรัฐบาลและภาคเอกชน เคนส์เน้นการใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมการลงทุนและการบริโภค ผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมสภาพเงินในเศรษฐกิจ สำหรับนโยบายการเงิน เครื่องมือที่สำคัญที่สุดรวมถึง
-
- อัตราดอกเบี้ย: การปรับอัตราดอกเบี้ยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภค การลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เงินกู้เป็นราคาถูกลง และส่งผลกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค
- การซื้อขายหรือการสร้างเงิน: การเพิ่มหรือลดปริมาณเงินที่วงเงินจากธนาคารกลาง มีผลต่อความเสถียรในระบบการเงิน การเพิ่มเงินในวงเงินอาจส่งผลกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจ แต่ก็อาจทำให้เกิดการเพิ่มอินเฟเชียน
- การสำรองขั้นบันได: การกำหนดจำนวนเงินที่ธนาคารซื้อเพื่อเพิ่มการสำรองเงิน ทำให้มีการควบคุมปริมาณเงินที่วงเงินในเศรษฐกิจ
- นโยบายกำหนดเป้าหมายอินเฟเชียน: การกำหนดเป้าหมายอินเฟเชียนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการตัดสินใจนโยบายการเงิน เพื่อให้รักษาความเสถียรและประสิทธิภาพในระบบการเงิน
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาล
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของรัฐบาล (Government Spending) เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลใช้เงินหรือลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โครงการต่าง ๆ หรือบริการสาธารณะเพื่อสร้างความเจริญพันธุ์และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอาจประสบปัญหาในการทำงานไม่เต็มที่หรือในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงต่อการขาดความเสถียรในระยะสั้น นโยบายนี้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับการเงินในเศรษฐกิจ และมีผลกระทบต่อการทำงานของตลาดและส่งผลให้เกิดเรื่องราวใหม่ในเศรษฐกิจเคนส์เสนอให้รัฐบาลใช้เงินในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง สะพาน ระบบรถไฟฟ้า เพื่อสร้างงานและเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน
ความต้องการถือเงินของเคนส์คืออะไร
ความต้องการถือเงิน (liquidity preference) คือแนวคิดสำคัญในทฤษฎีการเงินของเคนส์ (Keynesian Economics) ซึ่งอธิบายถึงพฤติกรรมและความคล่องตัวของบุคคลหรือบริษัทในการเลือกใช้เงิน โดยเฉพาะการเลือกการถือเงินเป็นรายได้ ซึ่งส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยและสถานะเศรษฐกิจทั้งหมดเคนส์ให้ความสำคัญกับความต้องการถือเงินเนื่องจากเขาเห็นว่าบุคคลและธุรกิจมีการคาดการณ์และความเสี่ยงในการลงทุน การถือเงินในรูปแบบเงินสดหรือเงินที่มีคล่องตัวมาก เช่น เงินฝากสะสมค่าบริการธนาคาร จะช่วยให้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น การสูญเสียงาน ปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือความผันผวนในตลาดทางการเงิน
แนวคิดของความต้องการถือเงิน (liquidity preference) นำไปสู่สูตรลู่เข้าของเคนส์ที่กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยเป็นผลมาจากการเปรียบเทียบระหว่างค่าที่เสียหายจากการถือเงิน (ต่ำกว่าเวลาลงทุน) และค่าที่เสียหายจากการลงทุน (ต่ำกว่าเวลาถือเงิน) นั่นคือความต้องการของผู้ถือเงินในการถือเงินเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เป็นตัวกลาง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยตลาดทางการเงินในปัจจุบัน
ประเภทความต้องการถือเงินของเคนส์
แนวคิดเรื่องความต้องการถือเงินเป็นส่วนสำคัญในการเข้าใจวิกฤตเศรษฐกิจและการปรับนโยบายการเงินของรัฐบาลในทฤษฎีการเงินของเคนส์ และมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการใช้จ่ายในเศรษฐกิจทั้งหมด เคนส์แบ่งประเภทความต้องการถือเงินออกเป็นสามประเภทหลักตามระยะเวลาที่จะใช้เงิน ดังนี้
ความต้องการถือเงินเพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน
ความต้องการถือเงินเพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน (Transaction Demand for Money) เป็นประเภทหนึ่งของความต้องการถือเงินในทฤษฎีการเงินของเคนส์ ความต้องการประเภทนี้เกิดจากความจำเป็นในการดำเนินธุรกรรมประจำวันหรือความต้องการใช้เงินสดในการซื้อของ การจ่ายค่าใช้จ่าย หรือการทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของบุคคลหรือธุรกิจ
ตัวอย่างของความต้องการถือเงินเพื่อดำเนินชีวิตประจำวันเป็นได้ดังนี้:
-
- การซื้อสินค้าและบริการ: บุคคลต้องการเงินสดหรือเงินที่สามารถใช้งานได้ในการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ เช่น การซื้ออาหาร การชำระค่าค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าบริการต่าง ๆ
- การจ่ายค่าใช้จ่ายประจำ: บุคคลต้องการถือเงินเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้านหรือคอนโด ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา และค่าโทรศัพท์ ซึ่งต้องการการชำระเป็นประจำเท่ากับค่าเฉลี่ยตลอดเวลา
- การทำธุรกรรมทางการเงิน: บุคคลต้องการเงินสดหรือเงินในบัญชีเพื่อใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การโอนเงินระหว่างบัญชี การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือการถอนเงินจากเอ็ตเอ็ม
ความต้องการถือเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ความต้องการถือเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Precautionary Demand for Money) เป็นหนึ่งในประเภทของความต้องการถือเงินในทฤษฎีการเงินของเคนส์ แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับความต้องการถือเงินเพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดทางการเงินขึ้น ซึ่งอาจประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดหรือค่าใช้จ่ายสำคัญที่เกิดขึ้นเร่งด่วนเช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมแซมฉุกเฉิน หรือค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดสูญเสียงาน การถือเงินในกรณีนี้เป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่คงที่
ความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน
ความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน (Speculative Demand for Money) เป็นหนึ่งในประเภทความต้องการถือเงินตามทฤษฎีการเงินของเคนส์ แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการถือเงินเพื่อใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น พันธบัตร สินทรัพย์เงินตราต่างประเทศ เป็นต้นการถือเงินประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงทางการเงิน และการกำหนดอัตราผลตอบแทนที่มีความคล่องตัวกับสถานการณ์ตลาด
แนวคิดนี้กำหนดว่าอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้ถือเงินอาจจะมีความต้องการเพิ่มการถือเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีรางวัลค่าผลตอบแทนสูง แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ผู้ถือเงินจะมีความน่าจะเป็นที่จะลดการถือเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีรางวัลค่าผลตอบแทนต่ำลง
ตัวอย่างทฤษฎีการเงินของเคนส์
ทฤษฎีการเงินของเคนส์มีผลกระทบให้กับนโยบายเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในตลาดเงิน และเป็นแนวคิดสำคัญที่มีบทบาทในการเข้าใจวิกฤตเศรษฐกิจและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนในเศรษฐกิจทั่วโลกทฤษฎีการเงินของเคนส์มีหลักการและแนวคิดหลายอย่าง ดังนี้เป็นตัวอย่างของทฤษฎีการเงินของเคนส์
- นิยามความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน: เคนส์ให้ความสำคัญกับความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน (Speculative Demand for Money) และอธิบายว่าความต้องการนี้เกิดจากความไม่แน่นอนในระยะยาวในตลาดการเงิน ผู้ถือเงินมักจะเลือกถือเงินในรูปแบบเงินสดหรือสินทรัพย์ทางการเงินที่มีคล่องตัวเพียงพอ เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงในอัตราผลตอบแทนและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
- สมดุลเงิน: เคนส์เน้นถึงความสำคัญของการสมดุลเงินในเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึงการให้เงินที่ถือเป็นเงินสดหรือเงินที่สามารถถอนใช้ได้ทันทีเพียงพอในกรณีที่มีความต้องการใช้จ่าย ความสมดุลเงินนี้จะช่วยลดความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจและสนับสนุนการทำธุรกรรม
- นโยบายการเงินของรัฐบาล: เคนส์เชื่อว่ารัฐบาลสามารถมีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงิน รัฐบาลสามารถใช้เครื่องมือการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดการผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายในโครงการสาธารณะ หรือการปรับอัตราดอกเบี้ย
- การกระตุ้นเศรษฐกิจ: เคนส์เสนอให้รัฐบาลใช้เงินเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง สะพาน ระบบรถไฟฟ้า เพื่อสร้างงานและเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน นั่นสามารถสร้างกระแสเงินสดในเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย
- ความไม่สมดุลในตลาด: เคนส์เน้นว่าตลาดไม่สามารถปรับตัวเองให้มีการจัดสรรทรัพยากรและงานได้อย่างเหมาะสมเสมอเอง การไม่สมดุลเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นจากความไม่เพียงพอของภาระงานและการลดการใช้จ่ายในตลาด
ตัวอย่าง
ตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย (Lt) และรายได้ประชาชน (Y) ในบริบทที่ค่า k มีการเปลี่ยนแปลง:
-
- ถ้าค่า k เป็น 1/3 และรายได้ประชาชนอยู่ที่ 600 ลบ.
ในกรณีนี้ ประชาชนจะถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยจำนวน 200 ลบ.
-
- ถ้าค่า k เป็น 1/6 และรายได้ประชาชนอยู่ที่ 800 ลบ.
ประชาชนจะถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยจำนวน 133.33 ลบ.
-
- ถ้าค่า k เป็น 1/8 และรายได้ประชาชนอยู่ที่ 1000 ลบ.
ประชาชนจะถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยจำนวน 125 ลบ.
ค่า k ในทุก ๆ กรณีสามารถเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจและบริบทที่เปลี่ยนแปลงได้ แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยและรายได้ของประชาชนในแนวคิดของทฤษฎีการเงินของเคนส์