ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ 7 ทฤษฎี มีอะไรบ้าง บอกรายชื่อและอธิบายเบื้องต้น พร้อมยกตัวอย่าง

ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ 7 ทฤษฎี มีอะไรบ้าง

การค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ศึกษาและพัฒนามาตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลายทฤษฎีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายหลักการและผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศ โดยทฤษฎีที่สำคัญในการค้าระหว่างประเทศที่ได้รับความสนใจและยอมรับในวงการเศรษฐศาสตร์มีหลายทฤษฎี ดังต่อไปนี้

Mercantilism Theory

ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ (Mercantilism Theory) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์และเป็นหนึ่งในแนวคิดแรกๆ ในการอธิบายการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจทั่วไปในยุคนั้น แต่ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งที่เป็นผู้ก่อตั้งทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์อย่างเดียว แต่เป็นผลสะสมของความคิดทางเศรษฐศาสตร์ในยุคนั้นที่มีความเชื่อร่วมกันเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานั้นๆ

ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ได้รับความนิยมในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อรัฐบาลและสมาคมเศรษฐกิจที่เป็นรัฐบาลควบคุมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ตัวอย่างของทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ได้แสดงในแนวคิดและนโยบายต่อไปนี้:

  • สะสมทรัพย์สินและเงินทอง: ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์เน้นความสำคัญของการสะสมทรัพย์สินและเงินทองของประเทศ เชื่อว่าการค้าระหว่างประเทศคือการแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อสร้างกำไรและสะสมทรัพย์สินของประเทศให้มากที่สุด
  • สมดุลการค้า: ตามทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ เป้าหมายหลักของการค้าระหว่างประเทศคือการให้สินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าสินค้าที่จ่ายออกไป โดยมุ่งหวังให้ประเทศมีการส่งออกมากกว่าการนำเข้า เพื่อให้มีเงินเข้ามาในประเทศมากขึ้น
  • นโยบายควบคุมการค้า: รัฐบาลในยุคสมัยเมอร์แคนทิลิสม์มักใช้นโยบายการควบคุมการค้าเพื่อส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้า อาจจะมีการกำหนดอัตราภาษีสูงต่อสินค้าที่นำเข้า หรือตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าสินค้าบางประเภท
  • เส้นเชื่อมระหว่างความมั่งคั่งและอำนาจ: ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์เชื่อว่าความมั่งคั่งและอำนาจของประเทศเกิดขึ้นจากการสะสมทรัพย์สินและเงินทอง โดยความมั่งคั่งนั้นจะช่วยเพิ่มอำนาจและความเข้มแข็งของประเทศในการแข่งขันกับประเทศอื่น
  • การเสริมสร้างอุตสาหกรรมท้องถิ่น: เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งและอำนาจของประเทศ ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์เสนอให้ประเทศใช้นโยบายเสริมสร้างและป้องกันอุตสาหกรรมท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการผลิตภายในประเทศมากขึ้นและลดการนำเข้า
  • การกำหนดข้อจำกัดทางการค้า: ทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์เสนอให้ประเทศใช้นโยบายการกำหนดข้อจำกัดทางการค้า เช่น อัตราภาษีสูงต่อสินค้าที่นำเข้าหรือข้อกำหนดทางกฎหมายที่จำกัดการนำเข้าบางประเภทของสินค้า

ตัวอย่าง

เราจะพิจารณากรณีของประเทศ A และประเทศ B ที่มีนโยบายเมอร์แคนทิลิสม์ในการค้าระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเน้นไปที่เส้นทางของการสะสมทรัพย์สินและเงินทอง นี่เป็นตัวอย่างแบบเบื้องต้นเพื่อแสดงการใช้งานทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ในบริบทของการค้าระหว่างประเทศ:

ประเทศ A:

      • นโยบายการควบคุมการค้า: ประเทศ A ใช้นโยบายการควบคุมการค้าเพื่อส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้า พวกนี้อาจเป็นการกำหนดอัตราภาษีต่ำสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สุด เช่น ผลิตภัณฑ์ของแร่และเหล็ก เพื่อให้มีการส่งเสริมการส่งออกเหล่านี้
      • การเสริมสร้างอุตสาหกรรมท้องถิ่น: ประเทศ A ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่น เพื่อเพิ่มการผลิตภายในประเทศและลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นี่อาจเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตของผ้า รองเท้า และสินค้าจากวัสดุท้องถิ่นอื่น ๆ
      • นโยบายสะสมเงินทอง: ประเทศ A ใช้นโยบายการสะสมเงินทองเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งของประเทศ การส่งออกทองคำและเครื่องเรือนที่ทำจากทองคำกลายเป็นอัตรามาก และนโยบายอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เงินทองเข้ามาในประเทศ

ประเทศ B:

      • นโยบายการควบคุมการค้า: ประเทศ B ใช้นโยบายการควบคุมการค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้าและลดการส่งออก อัตราภาษีสูงอาจจะถูกกำหนดสำหรับสินค้าที่นำเข้าเพื่อลดการนำเข้า และอัตราภาษีต่ำสำหรับสินค้าที่ส่งออก
      • นโยบายการนำเข้าสินค้า: ประเทศ B ส่งเสริมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในตลาดภายในประเทศ นี้อาจเป็นการนำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อมากำจัดการแข่งขันในตลาดภายใน
      • นโยบายการลงทุนต่างประเทศ: ประเทศ B อาจใช้นโยบายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อเสริมสร้างการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง อาจจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าที่มีอุปกรณ์เพิ่มเติม

ในตัวอย่างนี้ ทั้งประเทศ A และประเทศ B ใช้นโยบายเมอร์แคนทิลิสม์ในทางที่แตกต่างกันเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งและอำนาจของตน โดยทั้งสองประเทศกำหนดนโยบายการค้าและการเงินที่เข้ากับแนวคิดของทฤษฎีเมอร์แคนทิลิสม์ที่เน้นการสะสมทรัพย์สินและเงินทองเป็นหลัก

Theory of Absolute Advantage

ทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่รับรู้ (Theory of Absolute Advantage) ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ชื่ออัดาม สมิธ (Adam Smith) ในหนังสือ “Wealth of Nations” ที่เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 1776 ทฤษฎีนี้เป็นหนึ่งในพื้นฐานของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิกและได้มีผลกระทบอย่างมากต่อการเข้าใจและการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ

ทฤษฎีนี้อธิบายถึงความสามารถของแต่ละประเทศในการผลิตสินค้าและบริการในระดับที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ แม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มีความสามารถในการผลิตสินค้าอื่น ๆ ในทุกๆ กรณี ซึ่งทำให้มีข้อได้เปรียบในการผลิต (absolute advantage) ในสินค้าหนึ่งและสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าดังกล่าวกับประเทศอื่น ๆ ที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าอื่น ๆ ที่ดีกว่าในกรณีนั้น ๆ โดยทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่รับรู้ของอัดาม สมิธ (Adam Smith) มีหลักการหลักที่สำคัญดังนี้

Theory of Absolute Advantage
Theory of Absolute Advantage
    1. ความไร้ที่เป็นที่รับรู้ในการผลิต: อัดาม สมิธเน้นว่าแต่ละประเทศมีความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ในระดับที่ดีกว่าประเทศอื่นในบางส่วนของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน ทักษะ หรือเทคโนโลยีที่ใช้
    2. การแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน: ทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่รับรู้ว่าประเทศสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าประเทศอื่นในตัวเอง กับสินค้าที่ประเทศอื่นมีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในส่วนนั้น ๆ ผลเชิงบวกของการแลกเปลี่ยนสินค้านี้คือประเทศทั้งสองจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น จากการเข้าถึงสินค้าที่พวกเขาไม่สามารถผลิตได้ดีเท่ากับประเทศอื่น
    3. การขยายตลาด: ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของการเปิดตลาดสำหรับสินค้าและบริการระหว่างประเทศ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้ทรัพยากรในระดับที่ดีที่สุด
    4. การขับเคลื่อนการสร้างความเจริญเติบโต: การแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการตามหาความไร้ที่เป็นที่ดีในการผลิตช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของประเทศ แต่ละประเทศจะสามารถกระจายและใช้ทรัพยากรของตนในทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ตัวอย่าง

สมมุติว่าเรามีสองประเทศ คือประเทศ A และประเทศ B และเรามีสองสินค้า คือผลฟาร์มและผลส้ม ตามทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่รับรู้ ถ้าประเทศ A มีความสามารถในการผลิตทั้งผลฟาร์มและผลส้มดีกว่าประเทศ B แม้ว่าประเทศ A จะไม่ได้ผลิตทั้งสองสินค้าด้วยปริมาณที่มากกว่าประเทศ B และประเทศ B ไม่สามารถผลิตสินค้าใด ๆ ดีกว่าประเทศ A สมมุติให้ข้อมูลการผลิตดังนี้:

ผลฟาร์ม (สินค้า X):

      • ประเทศ A: ผลิต 10 หน่วย
      • ประเทศ B: ผลิต 5 หน่วย

ผลส้ม (สินค้า Y):

      • ประเทศ A: ผลิต 15 หน่วย
      • ประเทศ B: ผลิต 8 หน่วย

จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่าทั้งในการผลิตผลฟาร์มและผลส้ม ประเทศ A มีความไร้ที่เป็นที่รับรู้ (absolute advantage) กว่าประเทศ B โดยสามารถผลิตทั้งสองสินค้าด้วยประสิทธิภาพสูงกว่า ถ้าเราให้ประเทศ A ผลิตผลฟาร์มและประเทศ B ผลิตผลส้ม เราจะได้ผลผลิตรวมดังนี้

      • ประเทศ A: ผลิตผลฟาร์ม 10 หน่วย + ผลิตผลส้ม 15 หน่วย = 25 หน่วย
      • ประเทศ B: ผลิตผลฟาร์ม 5 หน่วย + ผลิตผลส้ม 8 หน่วย = 13 หน่วย

ดังนั้น หากทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนสินค้าตามความไร้ที่เป็นที่รับรู้ ประเทศ A จะส่งผลิตผลส้มให้ประเทศ B และประเทศ B จะส่งผลิตผลฟาร์มให้ประเทศ A สองประเทศจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิตสินค้าที่ดีที่สุดตามความสามารถของแต่ละประเทศ

Theory of Comparative Advantage

ทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่ได้รับรู้ (Theory of Comparative Advantage) เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญที่สุดในการอธิบายการค้าระหว่างประเทศ ทฤษฎีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวสก็อตอล์ด เดวิด ริคาร์โด คอนเซนในภาคต้นของศตวรรษที่ 19 และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ

ทฤษฎีนี้จะอธิบายถึงประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากความแตกต่างในความสามารถในการผลิตระหว่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับความแตกต่างในอัตราการผลิตของสินค้าแต่ละประเทศ เช่น ประเทศ A อาจมีความสามารถในการผลิตผลไม้ที่ดีกว่าประเทศ B ในขณะที่ประเทศ B อาจมีความสามารถในการผลิตเครื่องสำอางที่ดีกว่าประเทศ A ทฤษฎีนี้สรุปได้ดังนี้

    1. การใช้ทรัพยากร: แต่ละประเทศควรผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ผลิตและส่งออกสินค้าด้วยความไร้ที่เป็นที่ค่อนข้างต่ำกว่า
    2. การแลกเปลี่ยน: แม้ว่าประเทศจะมีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าประเทศอื่นในการผลิตสินค้าทุกชนิด แต่การค้าระหว่างประเทศยังคงมีประโยชน์ เนื่องจากประเทศยังสามารถส่งเสริมการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ค่อนข้างต่ำกว่าก็ได้
    3. การเลือกสรร: ทฤษฎีนี้ไม่สนับสนุนให้แต่ละประเทศผลิตทุกชนิดของสินค้า แต่แนะนำให้แต่ละประเทศเลือกผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในด้านนั้นๆ

ทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่ได้รับรู้ (Theory of Comparative Advantage) ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากความแตกต่างในความสามารถในการผลิต และแนะนำว่าการค้าระหว่างประเทศจะสร้างความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าและสามารถเพิ่มความสำเร็จในเศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้ การเลือกสรรทรัพยากรและการสร้างความเชื่อมั่นในการค้าระหว่างประเทศจะเกี่ยวข้องกับองค์กรระหว่างประเทศและนโยบายทางเศรษฐกิจ นี่คือขั้นตอนการทำงานของทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่ได้รับรู้

    • การเลือกสรรทรัพยากร: ประเทศจะเลือกผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าตามทฤษฎี นี่หมายความว่าประเทศจะส่งเสริมการผลิตสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีในสาขาที่ประเทศมีความสามารถ เพื่อให้ประเทศสามารถแลกเปลี่ยนกับประเทศอื่นและรับเสริมความสามารถในสาขาอื่น ๆ ที่มีความไร้ที่เป็นที่ต่ำกว่า
    • การแบ่งแยกรายได้และแรงงาน: ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในสาขานั้น ๆ จะมีแรงงานและรายได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถขยายการผลิตและส่งออกได้มากขึ้น
    • การเชื่อมั่นในการค้าระหว่างประเทศ: ประเทศจะต้องพัฒนาความเชื่อมั่นในการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้บรรลุประโยชน์จากการค้าได้อย่างมากที่สุด นี้อาจเกิดขึ้นผ่านการเซ็นสัญญาสิทธิบัตรการค้าระหว่างประเทศหรือการลดอุปสรรคทางการค้า
    • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม: การแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศอาจส่งผลให้ประเทศค้นหาวิธีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความไร้ที่เป็นที่ในการผลิต ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระยะยาว
    • นโยบายการค้าระหว่างประเทศ: นโยบายการค้าระหว่างประเทศของแต่ละประเทศจะมีผลต่อการเลือกสรรทรัพยากรและการค้าระหว่างประเทศ เช่น นโยบายการค้าอาจช่วยส่งเสริมการผลิตในสาขาที่มีความไร้ที่เป็นที่ต่ำหรือเพิ่มอัตราความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่าง

พิจารณาสองประเทศ: ประเทศ A และประเทศ B ซึ่งมีความสามารถในการผลิตสินค้าสองชนิดคือผลไม้และเครื่องดื่ม. นี่คืออัตราการผลิตในแต่ละประเทศ:

      • ประเทศ A: 1 หน่วยผลไม้ = 2 หน่วยเครื่องดื่ม
      • ประเทศ B: 1 หน่วยผลไม้ = 1 หน่วยเครื่องดื่ม

จากตัวอย่างด้านบน เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าประเทศ A มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในการผลิตทั้งผลไม้และเครื่องดื่ม แต่ความสามารถในการผลิตเครื่องดื่มของประเทศ B นั้นสูงกว่าตามทฤษฎีความไร้ที่เป็นที่ได้รับรู้ แต่ละประเทศควรเลือกผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในสาขาที่มีความสามารถ. ดังนั้น

      • ประเทศ A ควรผลิตและส่งออกผลไม้เพราะมีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในสาขานี้
      • ประเทศ B ควรผลิตและส่งออกเครื่องดื่มเพราะมีความสามารถในการผลิตเครื่องดื่มที่ดีกว่าในสาขานี้

ด้วยการแบ่งแยกรายได้และการเลือกผลิตตามความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในแต่ละประเทศ ทั้งประเทศ A และประเทศ B สามารถได้รับประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ โดยที่แต่ละประเทศผลิตและส่งออกสินค้าที่มีความไร้ที่เป็นที่ดีกว่าในสาขาที่มีความสามารถ. แม้ว่าประเทศ A จะสามารถผลิตทั้งผลไม้และเครื่องดื่มได้ดีกว่าประเทศ B แต่การค้าระหว่างประเทศก็ยังมีประโยชน์เนื่องจากประเทศ A สามารถส่งเสริมและส่งผลให้กับเศรษฐกิจของประเทศ B ในสาขาที่เครื่องดื่มเป็นหน่วยงานที่ความไร้ที่เป็นที่ต่ำกว่า.

Heckscher-Ohlin’s Factor Endowment Theory

ทฤษฎีปัจจัยในการผลิตของเฮ็กเซอร์-โอลิน (Heckscher-Ohlin’s Factor Endowment Theory) เป็นหนึ่งในทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ ถูกพัฒนาโดยวัลเธอร์ เฮ็กเซอร์ (Eli Heckscher) และบาร์เจอร์ โอลิน (Bertil Ohlin) ในปี ค.ศ. 1919 และปรับปรุงเติมเต็มในภายหลัง ทฤษฎีนี้หลักการหลักเกี่ยวกับความแตกต่างในปัจจัยในการผลิตของแต่ละประเทศที่สร้างความแตกต่างในโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ

Heckscher Ohlin’s Factor Endowment Theory
Heckscher Ohlin’s Factor Endowment Theory

หลักการหลักของทฤษฎีนี้คือปัจจัยในการผลิต ซึ่งรวมถึงปัจจัยทรัพยากรต่าง ๆ เช่นแรงงาน แรงงานที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีและทุนทรัพย์เป็นการประกอบการผลิต ปัจจัยในการผลิตของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน โดยประเทศที่มีปัจจัยในการผลิตที่มากขึ้นในหนึ่งปัจจัยจะมีแนวโน้มในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยนั้น ๆ มากขึ้น

ตัวอย่าง

ทฤษฎีปัจจัยในการผลิตของเฮ็กเซอร์-โอลิน (Heckscher-Ohlin’s Factor Endowment Theory) สาธิตด้วยตัวอย่างเรื่องแรงงานและทุนทรัพย์ โดยจะพิจารณาประเทศ A และประเทศ B ซึ่งแต่ละประเทศมีปัจจัยในการผลิตที่แตกต่างกันดังนี้:

    • ประเทศ A: มีแรงงานมากและราคาถูก
    • ประเทศ B: มีทุนทรัพย์มากและราคาถูก

ตามทฤษฎีปัจจัยในการผลิตของเฮ็กเซอร์-โอลิน:

    1. แรงงานมากในประเทศ A: เนื่องจากประเทศ A มีแรงงานมากและราคาถูก ประเทศนี้จะมีความเหมาะสมต่อการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เช่น ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าที่ต้องใช้แรงงานมากในกระบวนการผลิต
    2. ทุนทรัพย์มากในประเทศ B: ประเทศ B มีทุนทรัพย์มากและราคาถูก ดังนั้น ประเทศนี้มีความเหมาะสมต่อการผลิตสินค้าที่ต้องการทุนทรัพย์มาก เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ทุนทรัพย์ในการผลิต

เมื่อประเทศแต่ละแห่งเลือกผลิตสินค้าที่เหมาะสมตามปัจจัยในการผลิตที่มีอยู่ คือ ประเทศ A ผลิตเสื้อผ้าและประเทศ B ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เราจะพบว่าการค้าระหว่างประเทศจะเกิดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ โดยประเทศ A จะส่งเสื้อผ้าไปยังประเทศ B เพื่อใช้แลกกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประเทศ B ผลิต และประเทศ B จะส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าไปยังประเทศ A เพื่อใช้แลกกับเสื้อผ้าที่ประเทศ A ผลิต

International Product Life Cycle Theory

ทฤษฎีระยะเวลาของชีวิตสินค้าระหว่างประเทศ (International Product Life Cycle Theory) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับความนิยมในการอธิบายกระบวนการพัฒนาและการค้าระหว่างประเทศของสินค้าต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยเรย์เมนด์ เวอร์นอนในปี ค.ศ. 1966 โดยทฤษฎีระยะเวลาของชีวิตสินค้าระหว่างประเทศ  ได้เน้นความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการพัฒนาสินค้าและการค้าระหว่างประเทศในระยะเวลาต่างๆ ที่สินค้าผ่านมา ดังนั้นผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายการผลิตสามารถสรุปได้ดังนี้

  • ระยะในประเทศ (Domestic Stage): ในระยะนี้สินค้าถูกผลิตและนำเข้าหรือส่งออกจากประเทศผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว มีปริมาณการผลิตน้อยและมีการผลิตขายในตลาดในประเทศผู้ผลิต โดยยังไม่มีความแข่งขันจากประเทศอื่นๆ
  • ระยะข้ามแดน (Introduction of Foreign Production): สินค้าเริ่มเข้าสู่การผลิตและการค้าในประเทศอื่น ๆ เมื่อปริมาณผลิตเพิ่มขึ้น ที่ระยะนี้ประเทศผู้ผลิตเริ่มส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ เพื่อรับมือกับความต้องการในตลาดนั้น ๆ
  • ระยะสู่การผลิตนานาชาติ (Maturity and Standardization): สินค้าเข้าสู่ระยะนี้เมื่อมีความรับรู้และความนิยมในตลาดนานาชาติเพิ่มขึ้น การผลิตสินค้าเริ่มแพร่หลายในประเทศอื่นๆ และมีการแข่งขันระหว่างประเทศในการผลิตและการค้า

ตัวอย่าง

การคิดของทฤษฎีระยะเวลาของชีวิตสินค้าระหว่างประเทศ (International Product Life Cycle Theory) โดยใช้ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์มือถือ:

    • ระยะแรก (Introduction Stage): ในช่วงนี้ บริษัทในประเทศ A (ประเทศผู้ผลิต) ได้พัฒนาและเริ่มต้นผลิตมือถือรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ มีการค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาสูง เมื่อเปิดตลาดในประเทศ A สินค้ามีความนิยมเป็นพิเศษในประเทศต้นทาง แต่ยังไม่มีการส่งออกไปยังประเทศอื่น
    • ระยะเจริญเติบโต (Growth Stage): เมื่อความนิยมของมือถือรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น บริษัทในประเทศ A เริ่มขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจำนวนการผลิตและความหลากหลายในรุ่น ที่เริ่มขายไปยังประเทศ B (ประเทศตลาดใหม่)
    • ระยะเจริญเติบโต (Maturity Stage): ในช่วงนี้ มือถือรุ่นใหม่มีความนิยมในตลาดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น บริษัทในประเทศ A ได้พัฒนาการผลิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดต้นทุนการผลิต เมื่อสินค้ามีความสามารถในการแข่งขันสูง เริ่มมีการเข้าสู่ประเทศ C (ประเทศตลาดเป้าหมาย)
    • ระยะลดลง (Decline Stage): เมื่อมีการพัฒนาและผลิตมือถือรุ่นใหม่ มือถือรุ่นเก่าในประเทศ A อาจเริ่มพบว่าความนิยมลดลงเนื่องจากการแทรกแซงของสินค้าใหม่ บริษัทในประเทศ A อาจพัฒนาสินค้าใหม่ หรือเน้นเลือกเป้าหมายตลาดที่มีความต้องการสูงกว่า

National Competitive Advantage Theory

ทฤษฎีความแข่งขันระดับชาติ หรือที่เรียกว่า “Porter’s Diamond” คือแนวคิดที่พัฒนาโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) เพื่ออธิบายปัจจัยที่สร้างความแข่งขันและความสามารถของแต่ละประเทศในการแข่งขันในตลาดนานาชาติ ทฤษฎีนี้ให้มุมมองที่ซับซ้อนและมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปได้ในการสร้างความแข่งขันที่ยั่งยืนในระดับชาติเป็นส่วนตัว โดย Porter’s Diamond ประกอบด้วยสี่ปัจจัยหลักที่เข้ามาเป็นตัวกำหนดและสนับสนุนความแข่งขันของธุรกิจในระดับชาติ โดยปัจจัยเหล่านี้คือ:

National Competitive Advantage Theory
National Competitive Advantage Theory
    1. ปัจจัยเชิงโครงสร้าง (Factor Conditions): การความสามารถในการแข่งขันขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงโครงสร้างของประเทศ ได้แก่แรงงานที่มีความสามารถ ทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี ความรู้ รวมถึงสถานภาพการสื่อสารและพื้นที่เพื่อพัฒนาธุรกิจ
    2. ปัจจัยเชิงบริบท (Demand Conditions): โดยตรงจากตลาดในประเทศนั้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภค ความเป็นเลิศของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยประกอบด้วยความต้องการที่ต้องการคุณภาพสูง นวัตกรรม และความละเอียดอ่อน
    3. ปัจจัยเชิงพื้นที่ (Related and Supporting Industries): มีส่วนทำให้ธุรกิจของประเทศสามารถสร้างความแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งแทบจะสัมพันธ์กันอยู่ บริบทของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและธุรกิจสนับสนุนที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน
    4. ปัจจัยเชิงอุตสาหกรรม (Firm Strategy, Structure, and Rivalry): รูปแบบกลยุทธ์ที่ธุรกิจในประเทศนั้นใช้ เช่น การบริหารแบบไหน โครงสร้างบริษัทแบบไหน รวมถึงความแข่งขันระดับชาติที่เกิดขึ้น มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพและการสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจในระดับชาติ

ตัวอย่าง

การประยุกต์ใช้ทฤษฎีความแข่งขันระดับชาติ (Porter’s Diamond) ในสถานการณ์จริง ลองพิจารณาตัวอย่างของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศเยอรมนี:

    • ปัจจัยเชิงโครงสร้าง (Factor Conditions): เยอรมนีมีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในงานวิศวกรรมและผลิตอุปกรณ์ที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีสถานภาพทางการศึกษาที่สูงและศูนย์ศึกษาการฝึกอบรมที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมความรู้และทักษะของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้.
    • ปัจจัยเชิงบริบท (Demand Conditions): ตลาดในเยอรมนีมีความต้องการสูงในรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง โดยผู้บริโภคในประเทศเน้นคุณภาพ นวัตกรรม และการดูแลลูกค้า ซึ่งท้ายที่สุดส่งผลให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้.
    • ปัจจัยเชิงพื้นที่ (Related and Supporting Industries): อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแค่ผู้ผลิตรถยนต์เอง แต่ยังมีการผลิตอุปกรณ์และส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างกับกัน ยังมีระบบการจัดส่งและการส่งออกที่มีความเป็นเลิศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รับรู้ถึงคุณภาพ.
    • ปัจจัยเชิงอุตสาหกรรม (Firm Strategy, Structure, and Rivalry): บริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนีมีความเข้มแข็งและรายละเอียดในการกำหนดกลยุทธ์ การบริหารงาน และโครงสร้างองค์กร เป็นนัยสำคัญในการสร้างความแข่งขัน การแข่งขันระดับชาตินั้นส่งผลให้บริษัทพยายามพัฒนานวัตกรรมและสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง.

ทฤษฎีความแข่งขันระดับชาติ (Porter’s Diamond) ช่วยให้เราเข้าใจว่าเยอรมนีสามารถเรียนรู้และสร้างความแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างไร โดยใช้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในทั้งระบบเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศนี้เป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์และสร้างความแข่งขันในตลาดนานาชาติ.

New Trade Theory

ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศใหม่ (New Trade Theory) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 โดยพอล รอมเบิร์ และได้รับการพัฒนาเติบโตเพิ่มเติมโดยนักเศรษฐศาสตร์คนอื่น ๆ ด้วย โดยทฤษฎีนี้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก เนื่องจากพัฒนาทางเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ความสามารถในการผลิตสินค้ามีส่วนสำคัญในการแข่งขันในตลาดนานาชาติ หลักการและคุณสมบัติหลักของทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศใหม่ได้แก่:

New Trade Theory
New Trade Theory
  • ค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพ (Economies of Scale): ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของการผลิตในมิติของมาตราส่วน และในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพ เมื่อปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง ซึ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากมาตราส่วนในการผลิตเหล่านี้
  • การค้าระหว่างประเทศและค่าใช้จ่ายคงที่ (Constant Returns to Scale in Trade): ทฤษฎีนี้ระบุว่าการค้าระหว่างประเทศสามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ของการผลิตจะใช้ค่าใช้จ่ายคงที่ การค้าระหว่างประเทศก็ยังสามารถมีความสำคัญ
  • การค้าระหว่างประเทศและการสร้างกำไรนิยม (Economies of Scope): ทฤษฎีนี้พิจารณาถึงการผลิตหลายๆ สินค้าในประเทศเดียวกัน ที่มีความสัมพันธ์แบบในเชิงเส้นใหม่ (complementary) กัน การผลิตแบบนี้จะช่วยลดต้นทุนรวมที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกัน และการค้าระหว่างประเทศสามารถเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

ตัวอย่าง

สมมุติว่ามีสองประเทศ A และ B ที่ผลิตสินค้าเดียวกันคือรถยนต์ เราจะพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศใหม่:

    • ความสามารถในการผลิตและค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพ: ประเทศ A อาจมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ที่มีค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพมากกว่าประเทศ B จะสามารถผลิตรถยนต์ที่ราคาต่ำกว่าได้ แต่ประเทศ A ก็ยังจะส่งออกรถยนต์เพราะความสามารถในการผลิตและค่าใช้จ่ายของมันยังคงทำให้เป็นทางเลือกที่ดี
    • การค้าระหว่างประเทศและความต้องการต่างๆ: หากประเทศ A และ B มีความต้องการต่างกัน แม้ว่าจะผลิตสินค้าเดียวกัน การค้าระหว่างประเทศก็ยังเกิดขึ้นได้ อาจเป็นเพราะประเทศ A มีความต้องการมากในสินค้า B ในขณะที่ประเทศ B มีความต้องการมากในสินค้า A
    • ค่าใช้จ่ายคงที่และการค้าระหว่างประเทศ: ถ้าสมมุติว่าการผลิตรถยนต์มีค่าใช้จ่ายคงที่ แต่การผลิตมีขนาดใหญ่ จะสร้างค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพ (Economies of Scale) ในการผลิต สังเกตว่าประเทศ A และ B สามารถผลิตรถยนต์ในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนรวมต่อหน่วย ทำให้การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายแบบประสิทธิภาพนี้