ความสามารถในการชำระหนี้ DSCR คืออะไร
ความสามารถในการชำระหนี หรือ “Debt Service Coverage Ratio” ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่วัดความสามารถในการชำระหนีหนี้ของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่ต้องการการกู้ยืมเงินหรือหนี้อื่น ๆ โดย DSCR นับจากผลรวมของรายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ หารด้วยจำนวนหนี้ที่ต้องชำระในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ และเป็นตัวบ่งชี้ที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการ โดยมีค่ามากกว่าหนึ่งถือว่าดีและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า ในขณะที่ค่าต่ำกว่าหนึ่งอาจแสดงถึงความเสี่ยงที่สูงกว่าในการไม่สามารถชำระหนี้ได้
DSCR มีค่าเป็นจำนวนที่มากกว่าหนึ่งถ้ารายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้มีมูลค่ามากพอที่จะเป็นพอดีหรือเหลือเศษให้กับการชำระหนี้ เมื่อ DSCR มีค่าน้อยกว่าหนึ่ง แสดงว่ารายได้ไม่เพียงพอที่จะประเมินถึงความสามารถในการชำระหนี้และอาจเป็นสัญญาณที่ระบบการเงินอาจพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยงสูงในการให้กู้ยืมเงินหรืออนุมัติหนี้ โดยการปรับใช้ค่า DSCR ควรพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละกรณีและอุปกรณ์ในการลงทุนหรือกู้ยืมเงินเพื่อทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องและมีความรับรู้ในความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
สูตรคำนวณความสามารถในการชำระหนี้ DSCR
สูตรคำนวณความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) คือ:
DSCR = รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ / จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ
ในสูตรนี้:
- “รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้” คือ รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้สำหรับการชำระหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายได้สุทธิหรือเงินสดที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
- “จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ” คือ ยอดรวมเงินที่ต้องชำระในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ เช่น การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของหนี้
การคำนวณ DSCR คือการหารระหว่างรายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ด้วยจำนวนหนี้ที่ต้องชำระ หากผลลัพธ์มีค่ามากกว่าหนึ่ง (DSCR > 1) แสดงว่าความสามารถในการชำระหนี้ดีกว่าและมีเศษส่วนเหลือหลังจากการชำระหนี้ ถ้าผลลัพธ์มีค่าน้อยกว่าหนึ่ง (DSCR < 1) แสดงว่ารายได้หรือเงินสดไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้และอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระหนี้ได้ การตัดสินใจเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินหรืออนุมัติหนี้ใหม่อาจอิงความสำคัญใน DSCR เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการพิจารณาว่าควรอนุมัติหรือไม่อนุมัติการกู้ยืมหรือการขอหนี้ใหม่ในบริษัทหรือโครงการที่มีความต้องการเงินเพิ่มเติม
ตัวอย่างความสามารถในการชำระหนี้ DSCR
ตัวอย่างที่ 1
สมมติว่าคุณมีธุรกิจด้านร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าที่มีรายได้ตลอดเวลา รายได้ทั้งหมดของคุณในปีหนึ่งคือ 500,000 บาท และค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับธุรกิจคือ 300,000 บาท (รวมถึงค่าสินค้า ค่าต้นทุน ค่าส่วนแบ่งอื่น ๆ) ซึ่งทำให้รายได้สุทธิเหลือ 200,000 บาท ในเดือนเดียวในแต่ละเดือนคุณต้องชำระหนี้ผู้ให้เงินกู้ยืมเงินในจำนวน 50,000 บาทเป็นดอกเบี้ยและเงินต้น ในกรณีนี้ เราสามารถคำนวณ DSCR ได้ดังนี้
-
- รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ = รายได้สุทธิ = 200,000 บาท
- จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ = 50,000 บาท (เงินต้นและดอกเบี้ย)
DSCR = รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ / จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ
DSCR = 200,000 / 50,000
DSCR = 4
กรณีนี้ DSCR มีค่าเท่ากับ 4 ซึ่งแสดงว่ารายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้มีมูลค่ามากกว่า 4 เท่าของจำนวนหนี้ที่ต้องชำระ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีและความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจของคุณมีความมั่นคง และมีโอกาสสูงในการขอกู้ยืมเงินหรือการอนุมัติหนี้เพิ่มเติมถ้าจำเป็นโดยทั่วไปแล้ว DSCR ที่มากกว่าหนึ่งถือว่าดีและมีความปลอดภัยในการชำระหนี้ แต่ค่า DSCR ที่เหลืองกว่าหนึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าความสามารถในการชำระหนี้อาจมีความเสี่ยงและควรพิจารณาเพิ่มรายได้หรือลดหนี้เพื่อเพิ่มความเสถียรในการเงินและการบริหารจัดการธุรกิจ
ตัวอย่างที่ 2
สมมติว่าคุณมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องการขอกู้เงินธนาคารเพื่อการสร้างบ้านพักอาศัย รายได้รวมของคุณจากการเช่าห้องพักคือ 1,000,000 บาทต่อปี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับโครงการคือ 600,000 บาทต่อปี ในระหว่างที่คุณจะชำระหนี้เงินกู้ยืมธนาคารแต่ละเดือน จำนวนเงินที่ต้องชำระในดอกเบี้ยและเงินต้นรวมกันเป็น 200,000 บาทต่อปี ในกรณีนี้ เราสามารถคำนวณ DSCR ได้ดังนี้
-
- รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม = 1,000,000 – 600,000 = 400,000 บาทต่อปี
- จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ = 200,000 บาทต่อปี (เงินต้นและดอกเบี้ย)
DSCR = รายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้ / จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ
DSCR = 400,000 / 200,000
DSCR = 2
กรณีนี้ DSCR มีค่าเท่ากับ 2 ซึ่งแสดงว่ารายได้หรือเงินสดที่สามารถใช้ชำระหนี้มีมูลค่ามากกว่า 2 เท่าของจำนวนหนี้ที่ต้องชำระ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีและมีความสามารถในการชำระหนี้ที่มั่นคงและเสถียร เนื่องจาก DSCR ที่มากกว่าหนึ่งถือว่าดี โครงการนี้มีโอกาสสูงในการได้รับการอนุมัติกู้ยืมเงินหรือการขอหนี้ใหม่จากธนาคาร
วิธีวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ DSCR
การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้โดยใช้ตัวบ่งชี้ DSCR นั้นเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงและความคุ้มค่าของการลงทุนหรือการให้กู้ยืมเงิน ดังนี้เป็นขั้นตอนวิธีในการวิเคราะห์ DSCR:
- เก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ทั้งหมดที่มีภายในระยะเวลาที่สนใจ รวมถึงรายได้ที่มาจากธุรกิจหรือโครงการนั้น ๆ รวมถึงรายได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และรายรับอื่น ๆ ที่สามารถใช้ชำระหนี้
- รวมรายจ่ายที่เกี่ยวข้อง: รวบรวมรายจ่ายที่ต้องจ่ายในระยะเวลาที่สนใจ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจหรือโครงการ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- คำนวณรายได้ที่สามารถใช้ชำระหนี้: หักรายจ่ายทั้งหมดจากรายได้ทั้งหมดเพื่อหารายได้ที่เหลือให้ใช้ชำระหนี้
- คำนวณ DSCR: หารรายได้ที่สามารถใช้ชำระหนี้ด้วยจำนวนหนี้ที่ต้องชำระ จะได้ค่า DSCRDSCR = รายได้ที่สามารถใช้ชำระหนี้ / จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ
- วิเคราะห์ผลลัพธ์: ค่า DSCR ที่ได้จะแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของโครงการหรือธุรกิจ ถ้า DSCR มีค่ามากกว่าหนึ่ง แสดงว่ามีการสร้างรายได้เพียงพอที่จะสามารถชำระหนี้ได้อย่างมั่นคง แต่ถ้า DSCR มีค่าน้อยกว่าหนึ่ง อาจแสดงถึงความเสี่ยงที่สูงของการไม่สามารถชำระหนี้ได้
- การเปรียบเทียบ: เปรียบเทียบค่า DSCR ที่ได้กับเกณฑ์หรือค่าเฉลี่ยที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมหรือสถาบันการเงิน การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าโครงการหรือธุรกิจของคุณมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีพอหรือไม่
ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
SCR เป็นขั้นตอนสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนหรือการกู้ยืมเงิน เนื่องจากช่วยในการประเมินความเสี่ยงและความคุ้มค่าของโครงการหรือธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมหรือการลงทุน ความสามารถในการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่มีผลต่อรายได้และรายจ่ายของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมหรือหนี้ ดังนี้คือบางปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
รายได้ทั้งหมด
รายได้ทั้งหมดหมายถึงเงินหรือมูลค่าที่มาจากทุกแห่งหรือกิจกรรมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการใด ๆ ซึ่งอาจประกอบด้วยหลายแห่งหรือแห่งเดียวก็ได้ โดยรายได้ทั้งหมดมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการรายได้ทั้งหมดสามารถมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น:
-
- เงินเดือนและค่าจ้าง: รายได้ที่มาจากการทำงานเป็นลักษณะเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับจากการปฏิบัติงานในองค์กรหรือบริษัท
- รายได้จากธุรกิจหรือซื้อขาย: รายได้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจหรือกิจกรรมซื้อขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ
- รายได้จากการลงทุน: รายได้ที่มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ยจากเงินฝาก ผลประโยชน์จากการลงทุนในหุ้น ผลกำไรจากการลงทุนในทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ
- รายได้จากเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์: รายได้ที่มาจากการให้เช่าทรัพย์สินหรืออสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน อพาร์ทเม้นท์ อาคารพาณิชย์ และอื่น ๆ
- รายได้ส่วนตัว: รายได้ที่มาจากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การทำงานเป็นลักษณะเงินเดือนหรือค่าจ้าง อาทิ เงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ รายได้จากกิจกรรมอิสระ เป็นต้น
- รายได้จากผลิตภัณฑ์หรือบริการ: รายได้ที่มาจากการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สร้างขึ้น เช่น การขายสินค้าผลิตภัณฑ์ การให้บริการทางการแพทย์ การให้บริการทางการศึกษา เป็นต้น
รายจ่ายทั้งหมด
การเข้าใจและประเมินรายจ่ายทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนการเงินและการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อให้สามารถจัดการและบริหารการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการรายจ่ายทั้งหมดหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในชีวิตประจำวันหรือการดำเนินธุรกิจหรือโครงการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ตามลักษณะและลักษณะของรายจ่าย เช่น
-
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน: รวมถึงค่าสินค้าบริโภค เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องดื่ม ขนม อุปกรณ์ส่วนตัว ค่าสุขภาพ ค่าเดินทาง ค่าภาษีและอื่น ๆ
- ค่าเช่าหรือค่าผ่อน: รายจ่ายในการเช่าที่อยู่อาศัย หรือการผ่อนชำระเงินกู้ยืมเพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์
- ค่าบริการสาธารณูปโภค: เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
- ค่าเดินทางและค่าส่งเสริมการขาย: ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่องานทางธุรกิจ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าเช่ารถ รวมถึงค่าส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการ
- ค่าสุขภาพและการบำรุงรักษา: ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าประกันสุขภาพ
- ค่าศึกษาและการพัฒนา: ค่าเล่าเรียน ค่าบริการโรงเรียน ค่าเรียนพิเศษ ค่าซื้อหนังสือ ค่าคอร์สเรียน
- ค่าบริการการเงิน: ค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการใช้บริการทางการเงิน ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต
- ค่าบริการการเดินทาง: ค่าท่องเที่ยว ค่าการเดินทางไปประเทศอื่น ๆ
รายได้สุทธิ
รายได้สุทธิ (Net Income) คือจำนวนเงินที่เหลือหลังจากหักรายจ่ายทั้งหมดจากรายได้ทั้งหมด ในบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่กำลังวิเคราะห์ รายได้สุทธิถือเป็นตัวบ่งชี้ที่ช่วยให้เข้าใจถึงกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหน่วยงานนั้นๆหลังจากหักรายจ่ายทั้งหมดจากรายได้ทั้งหมด เมื่อได้รายได้สุทธิ จะสามารถใช้งานในการชำระหนี้ได้ การคำนวณรายได้สุทธิมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
รายได้สุทธิ = รายได้ทั้งหมด – รายจ่ายทั้งหมด
คำนวณรายได้สุทธิจะเป็นการหักรายจ่ายทุกประเภทที่เกี่ยวข้องออกจากรายได้ทั้งหมด เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ค่าภาษี ค่าบริการ ค่าดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รายได้สุทธิเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการประเมินสถานะการเงิน โดยรายได้สุทธิที่เป็นบวกแสดงถึงกำไรหรือส่วนเกินเงินจากกิจกรรม ในขณะที่รายได้สุทธิที่เป็นลบแสดงถึงขาดทุนหรือการเสียเงินจากกิจกรรม การวิเคราะห์รายได้สุทธิเป็นส่วนสำคัญในการประเมินความสามารถในการจัดการเงินและกำไรขาดทุนของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการนั้นๆ
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ที่แสดงถึงค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินหรือการกู้หนี้เมื่อนับเป็นส่วนแรกของเงินที่ยืม ซึ่งเรียกว่าดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยสามารถกำหนดได้โดยความต้องการของตลาดเงินทุน ระดับความเสี่ยง และสถานการณ์เศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญากู้ยืมหรือเอกสารทางการเงินที่เกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่สำคัญในการเข้าใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยคือ
-
- อัตราดอกเบี้ยคงที่: อัตราดอกเบี้ยที่คงที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลากู้ยืม เมื่อคุณกู้ยืมเงินที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ อัตราดอกเบี้ยที่คุณจ่ายจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเดิมตลอดระยะเวลาของสัญญากู้ยืม
- อัตราดอกเบี้ยลอยตัว: อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงตามอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันในตลาดเงินทุน อัตราดอกเบี้ยลอยตัวอาจเพิ่มหรือลดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดเงิน
- อัตราดอกเบี้ยตามระยะเวลา: สัญญากู้ยืมบางส่วนอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงตามระยะเวลา เช่น ในระหว่างช่วงเวลาเฉพาะหรือระยะเวลาที่กำหนดไว้
ระยะเวลาผ่อนชำระหนี้
ระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ เป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้และการวางแผนการเงินของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่มีหนี้ ระยะเวลานี้จะมีผลต่อรายจ่ายรายเดือนในการชำระหนี้ รวมถึงยอดรวมของเงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องชำระในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้นการเลือกระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการเงิน โดยระยะเวลาที่กำหนดให้ชำระหนี้มีผลต่อยอดรวมที่ต้องชำระในแต่ละงวด ระยะเวลาที่ยาวขึ้นอาจทำให้รายจ่ายรายเดือนลดลง แต่อาจทำให้รวมดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ความมั่นคงของรายได้
ความมั่นคงของรายได้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมหรือหนี้ ความมั่นคงของรายได้หมายถึงความเสถียรและคงที่ของแหล่งรายได้ที่สนับสนุนการชำระหนี้ตลอดระยะเวลาที่กำหนด ดังนี้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงของรายได้:
-
- ความหลากหลายของแหล่งรายได้: การมีหลายแหล่งรายได้ที่เป็นคนละแบบและไม่ขึ้นกับแหล่งรายได้เดียวเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงของรายได้ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการสูญเสียแหล่งรายได้เดียว โดยความหลากหลายของแหล่งรายได้ช่วยให้มีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้
- ความเสถียรของรายได้: รายได้ที่มีความเสถียรและเป็นประจำจะช่วยให้สามารถวางแผนการชำระหนี้ได้ง่ายขึ้น ถ้ารายได้มีความต่อเนื่องและไม่เปลี่ยนแปลงมาก จะช่วยลดความไม่แน่นอนในการวางแผนการเงิน
- แหล่งรายได้หลักและรอง: การมีแหล่งรายได้หลักและรองช่วยให้มีความเสถียรและคงที่ของรายได้ ถ้าแหล่งรายได้หลักเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและมีความสามารถในการสร้างรายได้ในระยะยาว และแหล่งรายได้รองสามารถชดเชยรายได้หลักในกรณีที่เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด
- ความสมดุลของรายได้และรายจ่าย: การควบคุมรายจ่ายเพื่อให้มีความสมดุลกับรายได้เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความมั่นคงของรายได้ การรักษาความสมดุลนี้ช่วยให้มีเงินเหลือสำหรับการชำระหนี้และการป้องกันความต้องการด่วนในการกู้ยืมเงิน
- ความเสี่ยงจากการสูญเสียรายได้: การประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการสูญเสียแหล่งรายได้เช่น การสูญเสียงาน ความล้มเหลวในธุรกิจ หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด เพื่อการวางแผนสำรองและการจัดการความเสี่ยง
- อัตราเงินเฟ้อ: อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาในเศรษฐกิจมีผลต่อความคงที่ของรายได้ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูง อาจทำให้รายได้ลดลงและมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
- การเข้าถึงและการควบคุมเงินสด: การมีสภาพคล่องในการเข้าถึงเงินสดและการควบคุมเงินสดจะช่วยให้สามารถชำระหนี้ในกรณีฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินสดเร่งด่วนได้
สถานการณ์เศรษฐกิจ
สถานการณ์เศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) และการบริหารความเสี่ยงของบุคคล ธุรกิจ หรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมหรือหนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจมีผลต่อรายได้ ค่าใช้จ่าย อัตราดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นในตลาดทั้งหมด ซึ่งสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและสภาพเศรษฐกิจในประเทศมีผลต่อโอกาสในการสร้างรายได้ และอาจมีผลต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ DSCR
ความสามารถในการจัดการเงินและบริหารหนี้
ความสามารถในการจัดการเงินและบริหารหนี้หมายถึงความสามารถในการวางแผนการเงิน การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถจัดการและบริหารเงินทรัพย์และหนี้สินให้อยู่ในสถานะที่เป็นประโยชน์สูงสุดในทุกสถานการณ์ ความสามารถเหล่านี้มีความสำคัญสูงในการสร้างความเสถียรทางการเงินและความเพื่อมาตรฐานในการชีวิตส่วนตัวและธุรกิจ การจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและการบริหารหนี้อย่างรอบคอบมีผลต่อการชำระหนี้ ความสามารถในการวางแผนการเงินและการเปลี่ยนแปลงแผนการชำระหนี้เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดเป็นสิ่งสำคัญ