การวิเคราะห์ทางเทคนิค คืออะไร การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค มีอะไรบ้าง ขั้นตอนการวิเคราะห์อธิบายยกตัวอย่างการวิเคราะห์

การวิเคราะห์ทางเทคนิค คืออะไร

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คือกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและการซื้อขายของหลักทรัพย์ เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน เพื่อพยากรณ์แนวโน้มและการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต เป้าหมายหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการใช้แผนภูมิและตัวชี้วัดทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ต่าง ๆ ความเชื่อในการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบ่งแยกออกเป็นสองพื้นฐานคือเสน่ห์ของพฤติกรรมครั้งก่อน (Behavioral Finance) และการวิเคราะห์เชิงเทคนิคในตลาดทางทฤษฎี (Efficient Market Hypothesis) โดยทั้งสองมุ่งหวังที่จะอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในตลาดและการต่อสู้กันระหว่างความเชื่อต่าง ๆ

วิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาปิด ราคาเปิด ปริมาณการซื้อขาย และตัวชี้วัดทางเทคนิคเช่น เส้นเทรนด์ แบบเทียน (Candlestick patterns) และตัวชี้วัดเทคนิคอื่น ๆ เพื่อจำลองแนวโน้มของราคา และพยากรณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจการลงทุนหรือการซื้อขายหลักทรัพย์ เพราะมีผู้ใช้งานที่เชื่อในวิธีนี้เพื่อช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนในตลาดทางการเงินและตลาดทุนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะสั้น ๆ

การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค มีอะไรบ้าง

การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคมีหลายองค์ประกอบที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์และประเมินแนวโน้มของราคาหุ้น บางส่วนขององค์ประกอบเหล่านี้ประกอบด้วย:

กราฟราคา (Price Charts)

กราฟราคาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค มันแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts) และกราฟเส้น (Line Charts) ซึ่งสามารถใช้ในการระบุแนวรับและแนวต้าน และสัญญาณซื้อขายต่าง ๆ โดยกราฟราคาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสดงแนวโน้มของราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อช่วยให้นักลงทุนและผู้วิเคราะห์เข้าใจและประเมินสภาพตลาด นี่คือบางประเภทของกราฟราคาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย:

    • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts): แท่งเทียนเป็นกราฟที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาภายในช่วงเวลาที่กำหนด แต่ละแท่งจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่แสดงราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด สีของแท่งเทียนสามารถใช้แสดงว่าราคาขึ้นหรือลงในช่วงนั้น
    • กราฟเส้น (Line Charts): เป็นกราฟที่เชื่อมโยงราคาปิดทุกหน่วยเวลาด้วยเส้นตรง ซึ่งช่วยให้เห็นแนวโน้มของราคาได้ง่ายและชัดเจน
    • กราฟแท่ง (Bar Charts): แท่งกราฟแสดงข้อมูลเป็นเส้นแท่งตามแนวนอน ที่แสดงราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ในช่วงเวลาที่กำหนด แต่แท่งไม่เชื่อมต่อกันเหมือนเส้นกราฟเส้น
    • กราฟ Renko: กราฟแบบ Renko ใช้การวาดแท่งตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยมีการกำหนดราคาหรือขนาดของแท่งในช่วงเวลาที่กำหนด
    • กราฟ Point & Figure: กราฟแบบ Point & Figure สร้างขึ้นโดยการใช้เครื่องหมาย X และ O เพื่อแทนการเปลี่ยนแปลงของราคา และกราฟจะไม่มีเส้นเชื่อมระหว่างราคา
      กราฟ Point & Figure
      กราฟ Point & Figure
    • กราฟ Heikin-Ashi: กราฟ Heikin-Ashi ใช้รูปแบบเหลี่ยมเส้นสี่เหลี่ยมแทนแท่งเทียน ซึ่งช่วยแสดงแนวโน้มของราคาอย่างมีความเน้น

ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators)

ตัวชี้วัดเหล่านี้คือสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ประเมินสภาวะของตลาดและแนวโน้มของราคา อาจเป็นตัวชี้วัดที่คำนวณจากราคาเกี่ยวกับเวลา หรือเป็นสูตรที่คำนวณจากปริมาณการซื้อขาย เช่น เครื่องมือที่มักใช้กันคือ ค่าเฉลี่ยเลื่อน (Moving Averages) และค่าแรงขับ (Relative Strength Index) การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อประเมินแนวโน้มและสภาวะตลาดของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ด้วยการคำนวณข้อมูลทางเทคนิคจากราคาหรือปริมาณการซื้อขาย ตัวชี้วัดเหล่านี้มักนำมาใช้ในการสร้างสัญญาณซื้อขาย หรือในการพยากรณ์แนวโน้มของราคา นี่คือตัวอย่างของตัวชี้วัดทางเทคนิคที่พบบ่อย:

    • ค่าเฉลี่ยเลื่อน (Moving Averages): ค่าเฉลี่ยเลื่อนคือค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด มีหลายรูปแบบ เช่น ค่าเฉลี่ยเลื่อนข้าม (Simple Moving Average) และค่าเฉลี่ยเลื่อนสะสม (Exponential Moving Average) สามารถช่วยในการจับแนวโน้มและสัญญาณทำการซื้อขายได้.
    • RSI (Relative Strength Index): RSI มักใช้ในการวัดความเร็วและแรงขับของการเคลื่อนไหวของราคา ในช่วง 0 ถึง 100 ถ้าค่า RSI เกิน 70 อาจแสดงถึงสภาวะที่หุ้นอาจกำลังเป็น “ที่บอกสัญญาณขาย” ในขณะที่ค่า RSI ต่ำกว่า 30 อาจแสดงถึงสภาวะที่หุ้นอาจกำลังเป็น “ที่บอกสัญญาณซื้อ”.
    • MACD (Moving Average Convergence Divergence): MACD จะใช้ค่าเฉลี่ยเลื่อนในการวัดความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเลื่อนสั้นและค่าเฉลี่ยเลื่อนยาว เมื่อเส้นสั้นตัดเส้นยาวจะแสดงถึงสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม.
    • Bollinger Bands: Bollinger Bands ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนและเส้นบน-ล่างที่ถูกกำหนดตามค่าเลขความแปรปรวนของราคา สามารถช่วยในการระบุว่าราคามีความผันผวนมากหรือน้อยเพื่อสร้างสัญญาณการซื้อขาย.
    • Stochastic Oscillator: Stochastic Oscillator วัดการเปรียบเทียบราคาปัจจุบันของหุ้นกับช่วงราคาก่อนหน้า เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดการสูญเสียของความแข็งแกร่งของแนวโน้มราคา.
    • Fibonacci Retracements: ใช้เส้นระดับค่าเฉลี่ยทางเทคนิค แบ่งเป็นร้อยละต่าง ๆ ที่สามารถใช้ในการวัดการถอดรหัสราคาหรือแนวรับและแนวต้านของราคา.
    • Ichimoku Cloud: Ichimoku Cloud เป็นตัวชี้วัดที่มีความซับซ้อน ประกอบด้วยเส้นแนวเบาะแสงและรายงานเป็นเมฆ สามารถใช้ในการระบุแนวโน้มและการสร้างสัญญาณการซื้อขาย.
    • Volume Indicators: ตัวชี้วัดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อขาย เช่น Volume Moving Average และ On-Balance Volume ช่วยในการประเมินความเชื่อมั่นของแนวโน้ม.

แบบจำลองกราฟ (Chart Patterns)

แบบจำลองกราฟ (Chart Patterns) เป็นรูปแบบหรือรูปร่างที่เกิดขึ้นบนกราฟราคาที่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มของราคา แบบจำลองเหล่านี้มักจะแสดงถึงสภาวะตลาดและสัญญาณการซื้อขายที่สามารถใช้ในการตัดสินใจการลงทุน นี่คือบางแบบจำลองกราฟที่รู้จักทั่วไป:

    • สามเหลี่ยมเสมือน (Symmetrical Triangle): สามเหลี่ยมเสมือนเป็นรูปแบบที่เกิดจากการเชื่อมต่อแนวรับและแนวต้านด้วยเส้นเรียบทั้งสอง ราคามักจะแสดงการเคลื่อนไหวแนวราบก่อนที่จะพุ่งขึ้นหรือพุ่งลงต่อไป
    • หัวไหล่ (Head and Shoulders): หัวไหล่เป็นแบบจำลองที่ประกอบด้วยสองยอดสูงที่เรียกว่า “หัว” และกลางที่ต่ำกว่าที่เรียกว่า “ไหล่” และอีกยอดสูงหนึ่งที่เรียกว่า “หัว” รูปแบบนี้อาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขึ้นเป็นแนวโน้มลง
    • ตั้งแต่ง (Double Top / Double Bottom): ตั้งแต่งเป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยสองยอดเท่า ๆ กันที่ตั้งอยู่ระหว่างสองสุด แต่ละข้างของสุดจะมีราคาสูง (สำหรับตั้งแต่ง) หรือต่ำ (สำหรับตั้งแต่ง) รูปแบบนี้อาจแสดงถึงการพุ่งขึ้นหรือพุ่งลงเทียบกับแนวโน้มก่อนหน้า
    • พาเบิลท็อป (Double Top) และ พาเบิลบอทตั้งแต่ง (Double Bottom): พาเบิลท็อปและพาเบิลบอทตั้งแต่งเป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยสองยอดสูงหรือต่ำที่เรียกว่า “พาเบิล” ทั้งสองสุดจะมีราคาเท่ากัน รูปแบบนี้อาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขึ้นเป็นแนวโน้มลงหรือแนวโน้มลงเป็นแนวโน้มขึ้น
      พาเบิลท็อป (Double Top)
      พาเบิลท็อป (Double Top)
    • ราตรีตั้งแต่ง (Triple Top / Triple Bottom): ราตรีตั้งแต่งเป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยสามยอดเท่า ๆ กันที่ตั้งอยู่ระหว่างสามสุด แต่ละข้างของสุดจะมีราคาสูง (สำหรับราตรีตั้งแต่ง) หรือต่ำ (สำหรับราตรีตั้งแต่ง) รูปแบบนี้อาจแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มขึ้นเป็นแนวโน้มลงหรือแนวโน้มลงเป็นแนวโน้มขึ้น
    • แถบเส้นตรง (Flag and Pennant): แถบเส้นตรงเป็นรูปแบบที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่รวมอยู่ในช่วงของราคาที่เรียกว่า “เส้นตรง” รูปแบบนี้มักแสดงถึงการพักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวต่อไป

เส้นแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels)

เส้นแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels) เป็นแนวราคาที่สำคัญในการวิเคราะห์เทคนิค มีบทบาทสำคัญในการแสดงถึงระดับที่ราคามักจะมีความเปลี่ยนแปลงหรือกลับตัวในตลาด โดยมีคุณสมบัติดังนี้:

    1. แนวรับ (Support Level): แนวรับเป็นระดับราคาที่มักจะยังช่วยยับยั้งการลดลงของราคา หากราคาหุ้นลดลงมาถึงแนวรับ มักจะมีแรงต้านมากพอที่จะกันการลดลงต่อไป ส่วนในกรณีที่ราคาลงต่ำกว่าแนวรับ อาจส่งสัญญาณว่าตลาดอาจจะมีแนวโน้มขาลงเพิ่มเติม
    2. แนวต้าน (Resistance Level): แนวต้านเป็นระดับราคาที่มักจะยับยั้งการเพิ่มขึ้นของราคา หากราคาหุ้นขึ้นมาถึงแนวต้าน มักจะมีแรงต้านมากพอที่จะกันการขึ้นต่อไป การพยายามที่ราคาจะขึ้นสูงกว่าแนวต้านอาจเป็นสัญญาณว่าตลาดอาจจะมีแนวโน้มขาขึ้นเพิ่มเติม

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการซื้อขายของหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อประเมินแรงขับของตลาดและแนวโน้มของราคา การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงการซื้อขายในตลาดในแง่มุมต่าง ๆ รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างการซื้อขายและการเคลื่อนไหวของราคาด้วย นี่คือบางแนวทางสำหรับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย

    • การยืนยันแนวโน้ม (Confirming Trends): ปริมาณการซื้อขายสามารถใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มที่แสดงบนกราฟราคา ในกรณีที่มีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ นักลงทุนอาจเรียกว่ามีการสนับสนุน (Confirmation) สำหรับแนวโน้มนั้น
      การยืนยันแนวโน้ม (Confirming Trends)
      การยืนยันแนวโน้ม (Confirming Trends)
    • สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม (Reversal Signals): การเปลี่ยนแนวโน้มสามารถเป็นไปได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขาย การปรากฏของปริมาณการซื้อขายที่สูงกับแนวต้านหรือต่ำกับแนวรับอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม
    • กำลังแรงขับ (Volume Strength): ปริมาณการซื้อขายสามารถใช้เพื่อวัดความเข้มข้นของการเคลื่อนไหวของราคา ถ้ามีการเพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาขาขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นมีความแรง
    • การเข้าร่วมในการซื้อขายของนักลงทุนใหญ่ (Institutional Buying/Selling): การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยในการติดตามการเข้าร่วมในการซื้อขายของนักลงทุนใหญ่ ที่สามารถมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคา
    • เปรียบเทียบปริมาณการซื้อขายระหว่างระยะเวลา (Volume Comparisons): การเปรียบเทียบปริมาณการซื้อขายระหว่างระยะเวลาต่าง ๆ อาจช่วยในการระบุแนวโน้มและการเปลี่ยนแนวโน้ม

แนวโน้มราคา (Trend Analysis)

แนวโน้มราคา (Trend Analysis) คือกระบวนการที่นักวิเคราะห์ใช้เพื่อระบุและวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหรือการเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงเวลาที่กำหนด แนวโน้มราคาสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามทิศทางของการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งประกอบไปด้วย:

    1. แนวโน้มขึ้น (Uptrend): แนวโน้มขึ้นเกิดเมื่อราคาขึ้นมาในช่วงเวลานาน ๆ กว่าที่ราคาตก แนวโน้มนี้จะมีลักษณะเส้นกราฟเอียงขึ้นไปทางขวา แนวรับและแนวต้านที่มีราคาต่ำกว่าจะเคลื่อนที่ขึ้นเช่นกัน นักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวอาจสนใจในแนวโน้มขึ้นเพื่อซื้อหุ้นในช่วงราคาที่ต่ำและรอคอยการเติบโตของราคาต่อไป
    2. แนวโน้มลง (Downtrend): แนวโน้มลงเกิดเมื่อราคาลดลงในช่วงเวลานาน ๆ กว่าที่ราคาขึ้น แนวโน้มนี้จะมีลักษณะเส้นกราฟเอียงลงไปทางขวา แนวรับและแนวต้านที่มีราคาสูงกว่าจะเคลื่อนที่ลงเช่นกัน นักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะสั้นอาจสนใจในแนวโน้มลงเพื่อขายหุ้นในช่วงราคาที่สูงและรอคอยการลดลงของราคาต่อไป
    3. แนวโน้มแบบแฟลต (Flat Trend): แนวโน้มแบบแฟลตเกิดเมื่อราคาขยับตัวไปทางด้านข้าง ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่อยในราคามากนัก ราคาอาจเคลื่อนที่ในช่วงระดับราคาที่เฉี่ยวชาญเรียกว่า “ระดับสนับสนุนและต้านทาง” (Support and Resistance Levels) แนวโน้มแบบแฟลตอาจแสดงถึงความไม่แน่นอนในตลาดและอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในภายหลัง

ขั้นตอนการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อประเมินแนวโน้มและสัญญาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีขั้นตอนหลายขั้นตอน ดังนี้:

  1. เลือกกราฟราคาที่เหมาะสม: เริ่มต้นด้วยการเลือกประเภทของกราฟราคาที่คุณต้องการใช้ เช่น กราฟแท่งเทียนหรือกราฟเส้น เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่อดูแนวโน้มในระยะเวลาที่สนใจ
  2. วาดแนวรับและแนวต้าน: ใช้เครื่องมือบนกราฟเพื่อวาดเส้นแนวรับและแนวต้าน ที่เป็นระดับราคาที่มีความสำคัญ แนวรับเป็นระดับที่ราคามักจะหยุดลง และแนวต้านเป็นระดับที่ราคามักจะหยุดขึ้น
  3. ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค: ปรับใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคต่าง ๆ เพื่อประเมินสภาพตลาด เช่น ค่าเฉลี่ยเลื่อน (Moving Averages) เพื่อระบุแนวโน้ม และตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น ค่าแรงขับ (Relative Strength Index) หรืออินดิเคเตอร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  4. จับความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดและราคา: วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัดที่คุณใช้กับราคา ตรวจสอบว่าสัญญาณเชิงบวกหรือเชิงลบเมื่อตัวชี้วัดแสดงสัญญาณเทียบกับแนวโน้มราคา
  5. ตรวจสอบแบบจำลองกราฟและรูปแบบอื่น ๆ: ตรวจสอบการเกิดขึ้นของแบบจำลองกราฟ เช่น รูปแบบกราฟเชิงเทรนด์หรือรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นที่รู้จัก เช่น รูปแบบแฟลต (Flat Patterns) และรูปแบบกราฟอื่น ๆ
    รูปแบบแฟลต (Flat Patterns)
    รูปแบบแฟลต (Flat Patterns)
  6. การจับสัญญาณการซื้อขาย: ใช้ข้อมูลที่เครียดมาจากขั้นตอนก่อนหน้าเพื่อตระหนักถึงสัญญาณซื้อหรือขายที่เป็นไปได้ คุณอาจค้นหาสัญญาณจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม แนวรับและแนวต้าน และตัวชี้วัดทางเทคนิค
  7. การตรวจสอบสัญญาณที่สอดคล้อง: เมื่อคุณพบสัญญาณที่เป็นไปได้ในขั้นตอนก่อนหน้า คุณควรตรวจสอบว่ามีสัญญาณที่สอดคล้องกันจากหลายแหล่ง ตัวชี้วัดที่แตกต่างกันก็ควรมีสัญญาณที่เป็นไปได้เช่นกัน

ตัวอย่างการวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • กราฟราคาและเส้นแนวรับและแนวต้าน: นักลงทุนสามารถวิเคราะห์กราฟราคาของหุ้นเพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ แนวรับคือระดับราคาที่มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นเหล่นลงมาและหยุดลง แนวต้านคือระดับราคาที่มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นและหยุดขึ้น การบวกจับกราฟราคาและเส้นแนวรับและแนวต้านช่วยในการระบุทิศทางแนวโน้มของราคาและระดับที่สำคัญ.
  • เครื่องมือค่าเฉลี่ยเลื่อน (Moving Averages): ค่าเฉลี่ยเลื่อนเป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่คำนวณจากราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ค่าเฉลี่ยเลื่อนสามารถช่วยในการระบุแนวโน้มของราคา และสร้างสัญญาณเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนต่างกัน ตัวอย่างเช่น การเรียงเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนสองสามารถใช้เพื่อระบุสัญญาณ “Golden Cross” (เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนสั้นเครื่องมือเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนยาว) หรือ “Death Cross” (เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนสั้นเครื่องมือเส้นค่าเฉลี่ยเลื่อนยาว).
  • ค่าแรงขับ (Relative Strength Index – RSI): RSI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงในราคาหุ้น มันมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดย RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 อาจแสดงถึงสภาวะที่หุ้นอาจมีมูลค่าสูงเกินไปและอาจเกิดการแก้ไขราคาในอนาคต ในขณะที่ RSI ที่ต่ำกว่า 30 อาจแสดงถึงสภาวะที่หุ้นอาจมีมูลค่าต่ำเกินไปและอาจมีโอกาสเกิดการขึ้นราคาในอนาคต.
  • แบบจำลองกราฟ (Chart Patterns): แบบจำลองกราฟเช่น รูปแบบขึ้น-ลง (Uptrend-Downtrend) และรูปแบบความต้านทาน (Resistance) หรือรูปแบบการเส้นราคา (Trendlines) จะช่วยในการระบุการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของราคา.
  • การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis): การดูทิศทางของปริมาณการซื้อขายในระหว่างช่วงเวลาเป็นอีกหนึ่งวิธีในการวิเคราะห์ เพราะปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยยืนยันแนวโน้มของราคาและสัญญาณที่เกิดขึ้นบนกราฟราคาได้.
  • ข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคอาจถูกเสริมด้วยข้อมูลเกี่ยวกับข่าวสารและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลต่อราคาหุ้น ตัวอย่างเช่น ข่าวเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือตลาดสามารถมีผลต่อความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น.